รีวิวหนังเกมล่าเกม The Hunger Games: Mockingjay Part 1 ไม่สปอยนะ
"This is the start of how it all ends." ทันทีที่หนังจบ ท่อนนี้ของเพลง Yellow Flicker Beat ก็ดังขึ้นมาในหัว เพราะ The Hunger Games: Mockingjay Part 1 มันช่างให้ความรู้สึกตามนี้จริงๆ มันคือจุดเริ่มต้นของจุดจบอันยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้าอีกหนึ่งปีเต็มนั่นเอง
ตามสไตล์หนังที่สร้างจากหนังสือแล้วหั่นภาคออกมาจากเล่มเดียวที่หนังจะทำหน้าที่ได้เพียงเป็นตัวปูเรื่องเพื่อภาคจบสุดอลังเท่านั้น เหมือนอย่างที่เคยเห็นกันไปใน Harry Potter 7.1 และ Vampire Twilight แต่ข้อต่างของ Mickingjay Part 1 ในการกำกับของ Francis Lawrence เห็นจะเป็นความจริงที่ว่า แม้มันจะเป็นแค่ภาคปูเรื่อง แต่มันก็เป็นภาคปูเรื่องที่คุ้มค่าต่อการดูมากทีเดียว
เนื้อเรื่องของภาคต้นแห่งจุดจบ The Hunger Games นี้โฟกัสไปที่ประเด็นในเรื่องของการเมืองล้วนๆ การต่อสู้กันของฝ่ายผู้มีอำนาจและกบฎจนหลายๆ ครั้งก็แอบอดนึกถึงสถานการณ์บ้านเราที่ผ่านมาไม่ได้เหมือนกัน แต่จุดเด่นของมันอยู่ตรงกรรมวิธีและเทคนิกที่ใช้ในการต่อต้าน ที่หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่กลับปลุกระดมคนดูให้คล้อยตามจนเผลอฮึดไปกับเขตต่างๆ ได้เลยทีเดียวในหลายๆ ฉาก
อีกหนึ่งจุดเด่นของภาคนี้ก็ยังคงเหมือนเช่นภาคอื่นๆ นั่นก็คือเรื่องของฝีไม้ลายมือนักแสดงทั้งเซ็ต โดยเฉพาะสาว Jennifer Lawrence ที่ภาคนี้เธอเอาทุกซีนอยู่และช่วยดึงความน่าสนใจให้กับหนังไว้ได้ตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ บนพลอตที่เป็นเพียงแค่การปูทางนี้ได้แบบอยู่หมัด Julianne Moore ในบท ปธน Alma Coin เองนั้นถึงแม้จะเพิ่งมีบทบาทในภาคนี้แต่ก็ปล่อยคลื่นพลังการแสดงออมาได้สมกับคำว่ารุ่นใหญ่มาก ผู้กำกับฝีมือดี Cressida (Natalie Dormer - เท่มากเรื่องนี้) และทีม Camera Crews ของเธอก็เป็นทัพตัวละครใหม่ที่ถ่ายทอดพลังความเป็นมืออาชีพในฐานะผู้กำกับและทีมถ่ายทำมือหนึ่งแห่ง Panem ได้อย่างเต็มที่ และอีกหนึ่งคนที่เห็นพัฒนาการด้านการแสดงแบบสุดๆ คือ Josh Hutcherson ที่สามารถสวมบทเป็น Peeta ในภาคที่ต้องเล่นใหญ่และชัดเจนนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมแม้บทจะไม่เยอะเท่าไหร่นัก
เพลง The Hanging Tree เวอร์ชั่นที่ใช้ประกอบจริงในหนังนี้เคยมีโอกาสได้ฟังมาก่อนแล้วและไม่ถูกหูเอาซะเลย เหตุเพราะชอบและติดหูฉบับแฟนเมดมากกว่า แต่พอเอามาประกอบกับฉากและสถานการณ์ในเรื่องที่ Katniss ต้องรับหน้าที่ขับร้องเอง (และเสียงที่ได้ยินก็เป็นเสียงสดของ Jennifer Lawrence ด้วย) แล้วกลับทำให้ความรู้สึกที่เคยไม่ชอบตอนแรกเปลี่ยนไป และทำให้ฉากร้องเพลงนั้นกลายมาเป็นฉากที่ประทับใจที่สุดของเรื่องสำหรับผมไปเลยทีเดียว
เพลงประกอบของเรื่องในภาคนี้เหมือนจะปล่อยเพลงหลักออกมาแค่เพลงเดียวนั่นก็คือ Yellow Flicker Beat ที่ได้ Lorde มาประพันธ์และขับร้องให้ (ซึ่งต่างจากภาคอื่นๆ ที่จะมีเพลงหลัก 2 เพลง) โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่แต่งมาได้เข้ากับธีมใน The Mockingjay Part 1 มากทีเดียว โดยในเนื้อเพลงนั้นเหมือนจะเป็นการสรุปความเป็น Katniss เอาไว้ตั้งแต่ The Hunger Games แรกจนถึง Mockingjay Part 1 ที่เธอได้กลายเป็นเหมือนสิ่งมีค่ามากที่สุดของทีมกบฏไปเป็นที่เรียบร้อยได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการส่งต่อไม้ผลัดไปให้กับบทสรุปใน The Hunger Games: Mockingjay Part 2 ที่จะออกฉายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในปีหน้านี้ได้อย่างลงตัวอีกด้วย เหตุเพราะไฟในตัว Mockingjay นั้นได้จุดติดโดยสมบูรณ์แล้วนั่นเอง...
The Hunger Games: Mockingjay Part 1 ดำเนินรอยตามเรื่องราวในช่วงครึ่งเล่มแรกของหนังสือราวกับถอดแบบออกมาเด๊ะๆ ต่างกันแค่ประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เช่นเรื่องของ Effie และ Prep Team ของ Katniss เท่านั้น ซึ่งแม้จะให้ทำคีย์เรื่องเปลี่ยนไปหน่อยหนึ่ง (เปลี่ยนยังไงคงต้องให้ไปหาอ่านหนังสือกันดูครับ) แต่ก็ไม่ได้ขัดใจคอหนังสืออย่างผมเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าการดัดแปลงเรื่องให้มาเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย (พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นการสปอย ^^)
แนะนำเหมือนเดิมสำหรับคนที่ไม่มีหนังสือว่าก่อนเข้าโรงกรุณาไปซื้อหนังสือมาเก็บไว้ก่อนซะ เพราะตอนจบของภาคนี้นั้นช่างทำร้ายจิตใจคนเหมือนภาคก่อนหน้าไม่มีผิด หากไม่อยากโดนทิ้งค้างปล่อยกลางอ่าวไว้อีกปีก็รบกวนฟังคำเตือนนี้ไว้หน่อยเน้อครับ ^^
ภาคนี้ไม่มีอารีน่า ฉากแอ๊คชั่น = 0 ขับเคลื่อนเรื่องด้วยดราม่าและพลังการแสดงของนักแสดงล้วนๆ ตลอดสองชั่วโมง รู้อย่างนี้แล้วจูนตัวเองไว้ก่อนเข้าโรงสักนิดนะครับ ท่องไว้ว่าทั้งหมดที่เรารอคอยนั้น เราจะได้เห็นอย่างแน่นอน แต่ต้องรอไปปลายปี 2015 โน่นนะเออ
ถึงแม้ว่า The Hunger Games: Mockingjay Part 1 อาจจะไม่ได้ครบรสกินอร่อยเหมือนอย่าง The Hunger Games และ The Huger Games: Catching Fire แต่ Mockingjay Part 1 นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นภาคที่มันสามารถกางปีกแห่งไฟของตัวเองและยกระดับซีรีส์จากคำว่า "ภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมเยาวชน" มาเป็น "ภาพยนตร์ที่จะผงาดง้ำในโลกแห่งแผ่นฟิล์มอีกเรื่อง" ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
สุดท้ายนี้...
ใน The Hunger Games เราได้เห็น Katniss ในฐานะสาวน้อยที่ยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อปกป้อง Primrose น้องสาวของเธอจากเกมอุบาทว์ของ Capital ใน Catching Fire เราได้เห็น Katniss ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ยอมอุทิศตัวเองทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตของ Peeta ไว้โดยไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการจัดฉากที่มีการเตรียมกันไว้จากหลายฝ่ายเลยในการโค่นล้ม Capital ภายใต้การนำของ ปธน. Snow และใน Mockingjay Part 1 นี้ เราจะได้เห็น Katniss ในฐานะของสัญลักษณ์ของกบฏที่พร้อมจะกางปีกของเธอเพื่อพัดกระพรือ Capital ให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อปลดแอกทุกชีวิตแห่ง Panem จาก ปธน Snow และ Capital และนั่นจะทำให้คุณร่วมลุ้นเอาใจช่วยไปกับเธออย่างสุดกำลัง
แล้วเราไปร่วมให้กำลังใจเธอด้วยกันครับ...
8/10 (A)