หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

นิสัยแย่ๆของคนไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องได้รับการแก้ไข

Share แชร์โพสท์โดย tuithai

นิสัยแย่ๆ ของคนไทย ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องได้รับการแก้ไข

 

 

 

นิสัยแย่ๆ ของคนไทย ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องได้รับการแก้ไข

ผลงานวิจัยฝีมือฝรั่งเมื่อ 6 ปีก่อน ที่ลุกขึ้นมาฟันธงถึงนิสัยเฉพาะของคนไทย อันมีผลให้การก้าวไปสู่ความเจริญของประเทศชาติเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะคนไทยมีนิสัยเสียอยู่ 4 อย่าง คือ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อวด และขี้อิจฉา

ทำเอาหลายเสียงยกมือค้านกันยกใหญ่ บอกแค่นั้นมันยังไม่ใช่ เพราะ “ไทยแท้” ของจริงยังมีอีกหลาย “ขี้” ที่ฝรั่งยังเข้าไม่ถึง

ที่ขาดไม่ได้เลย คือ “ขี้กร่าง” นิสัยชอบเบ่งความใหญ่ซึ่งอยู่คู่คนไทยมานาน ไม่อย่างนั้นวลี “รู้มั้ยว่า ตู…ลูกใคร” คงไม่ดังติดปากไปทั่วประเทศได้ขนาดนี้ อย่างล่าสุดที่น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับสองแม่ลูกมีอันจะกินที่ “กร่าง” เป็นนิสัย แค่จะกินเบอร์เกอร์ยังต้องแซงคิวชาวบ้าน จนถูกพลเมืองดีเบรคหัวทิ่ม ต้องเรียกพรรคพวกมาตั้งท่าว่า อยากจะมีเรื่อง แต่ตอนนี้คงต้องสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ เพราะรูปที่ถูกเบลอของทั้งสองถูกโพสต์ประจานกันให้ว่อนบนโลกออนไลน์

นอกจากนี้ ที่ห้ามลืมโดยเด็ดขาด ก็คือ นิสัย“ขี้จุ๊” ของคนไทย เป็นกันตั้งแต่เด็กยันแก่ แม้กระทั่งคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองยังโกหกตาใส แล้วบอกว่าเป็น “White lie”ได้อีกด้วย

แต่เพียงเท่านี้ คิดว่า ครบหรือยังสำหรับทำเนียบนิสัยเสียของคนไทย ?

@ทำตามใจ คือ ไทยแท้

นิสัยเสียที่แก้ไม่หายของคนไทยตามที่ว่ามานั้น ไม่ใช่เรื่องลอยๆ เพราะยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุในทางเดียวกัน อย่างของ “มูลนิธิคนไทย” ร่วมกับสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการ “คนไทย” มอนิเตอร์ เสียงนี้มีพลัง โดยสำรวจความคิดเห็นประชาชน 100,000 คน จาก 77 จังหวัด ระหว่างวันที่ 25 เมษายนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 พบว่า 85 %ของกลุ่มตัวอย่างมองตัวเองในเชิงบวกว่า เป็นคนรักสนุก, มองว่า มีน้ำใจ 84 % เท่ากันกับ มีจิตใจให้บริการ

และคนไทยมองตัวเองในเชิงลบว่า เป็นคนชอบมีหน้ามีตาในสังคม 87 %, ชอบพึ่งพาโชคชะตา 81 % และสุดท้ายคือไม่ซื่อตรง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว 61 %

เช่นเดียวกันกับผลงานวิจัยของ ดร.อุทัย ดุลยเกษม เกี่ยวกับลักษณะนิสัยประจำชาติของไทย ที่สรุปรวมไว้อย่างคล้องจองว่า…

“รักสงบ เคารพอาวุโส เชื่อโชคลางของขลัง เชื่อกฎแห่งกรรม ยอมตามผู้มีอำนาจ รักเอกราช สุกเอาเผากิน ไม่ยอมให้ใครดูหมิ่น รักถิ่นและครอบครัว อ่อนน้อมถ่อมตัว ชอบผู้นำ สำรวย ชอบบันเทิง (สนุก) เมตตากรุณา ผักชีโรยหน้า ไม่กระตือรือร้น เป็นคนใจกว้าง ช่างอดช่างทน กตัญญูกตเวที ชอบมีอภิสิทธิ์ จิตใจเอื้ออารี โอนอ่อนผ่อนตาม มีความเกรงใจ ให้อภัยเสมอ ตามใจต่างชาติ ฉลาดเลือกงาน ทำการมักแบ่ง เคร่งครัดเคารพแด่พระมหากษัตริย์”

ส่วนการสอบถามความเห็นผ่านสื่อออนไลน์ “เฟซบุ๊ค” หน้าเพจ “ร่วมปฏิรูปการศึกษาไทย” ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2555 ในหัวข้อลักษณะนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ของคนไทย พบว่า ลักษณะนิสัยที่ควรปรับแก้ของคนไทย คือ ฟุ่มเฟือย วัตถุนิยม ความคิดแตกแยก ขาดการวิเคราะห์ ขาดความสามัคคี เห็นแก่พวกพ้อง ไม่ซื่อสัตย์ เล่นการพนัน ติดสินบน ติดเกม ติดยาเสพติด มีความเชื่องมงาย ไม่ตั้งใจเรียน ฯลฯ และที่เห็นตรงกันมากที่สุด คือ ขาดระเบียบวินัย ไม่เคารพกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม

ขณะที่เรื่องของน้ำจิตน้ำใจ ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของคนไทย พิสูจน์ให้เห็นผ่านวิกฤติการณ์หลายๆ ครั้ง อย่างเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มชายฝั่งอันอามันเมื่อปี 2547 หรืออย่างตอนมหาอุทกภัยปี 2554 ที่ทำให้ทั่วโลกได้ซึ้งถึงน้ำใจของคนไทยที่ไหลหลากไม่แพ้มวลน้ำก้อนใหญ่ แต่ในเหตุการณ์เดียวกันก็กลับสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ระเบียบวินัยของคนไทยชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแก่งแย่ง แซงคิว เวียนรับของ ส่วนพ่อค้าแม่ค้าหัวใสก็ถือโอกาสโก่งราคา ทำกำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

และที่มักจะถูกนำเปรียบเทียบมากก็คือ ความมีวินัยของคนญี่ปุ่น จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิถล่มเมื่อปีก่อน ซึ่งนำความเสียหายมาสู่ประเทศอย่างมหาศาล แต่สิ่งที่ทุกประเทศได้เห็นก็คือ ความมีสติ เป็นระเบียบ และมีวินัยของชาวญี่ปุ่น ที่แม้จะอยู่ในช่วงภัยพิบัติ ทั้งหิวและขาดอาหาร แต่เมื่อมีการแจกของช่วยเหลือ ชาวญี่ปุ่นก็ยังคงเข้าแถวรับของอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการยื้อแย่งกัน ซึ่งนั่นคือสำนึกในความเป็น “พลเมือง” ของชาวญี่ปุ่น ที่มองผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าเรื่องส่วนตัว

คำว่า “พลเมือง” ที่แปลได้ว่า “กำลังของเมือง” จึงถูกหยิบยกตั้งคำถามอย่างจริงจังในบ้านเราว่า ควรจะสร้างให้เกิดขึ้นได้อย่างไรดี

เพราะดูเหมือนว่า ประเทศไทยจะมีจำนวน “พลเมือง” น้อยกว่าที่ควรจะเป็น!

@นิสัยเสีย.. ซ่อมได้

และนี่จึงเป็นเหตุผลของการจัดทำโครงการ“ช่วยกันเปลี่ยนนิสัยไม่ดีของคนไทย ให้เป็นคนดีมีวินัย” โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ที่เปิดเวทีระดมความคิดเห็นว่า ควรจะทำอย่างไรดี จึงจะแก้นิสัยเสียของคนไทยได้

แต่ก่อนจะพูดเรื่องนิสัยเสียนั้น ในมุมมองของศาสตรจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึง “ความดี”ก่อน โดยบอกว่า คนไทยยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับ “ความดี” ที่ผิดเพี้ยนอยู่พอสมควร

“จริงๆ แล้วความดีจะต้องเป็นสิ่งสากล บนหลักการว่า อะไรที่ดีต่อตัวเอง
ความดีนั้นจะต้องดีต่อคนอื่นด้วย แต่สิ่งที่คนไทยคิดอยู่ทุกวันนี้กลับเป็น “ความดีที่เข้าข้างตัวเอง” และกลายเป็นการหาเหตุผลมารองรับการทำชั่ว หรือไม่ก็มักจะยกคนอื่นมาอ้าง ว่าคนอื่นยังทำได้ เราก็ต้องทำได้ ซึ่งนั่นเป็นการพูดถึงความดีแบบที่เข้าข้างตัวเอง และไม่ใช่ความดีสากล โดยจากการทำงานแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นมานาน 5 ปีทำให้ยิ่งรู้สึกว่า ชาติหน้าก็ยังแก้ไม่ได้ เพราะเรื่องของ“จิตสำนึก” นั้น เราไม่มี”

แต่การที่เราได้เห็นสภาพไร้ระเบียบวินัย หรือการพร้อมที่จะทำผิดทุกเมื่อ หากตำรวจไม่เห็นนั่นต่างหากที่ชวนให้คิดต่อว่า ที่ผิดเพี้ยนไปคืออะไร เพราะในมุมมองของมือปราบคนโกงรายนี้เห็นว่า คนไทยคนเดียวกัน สามารถไปอยู่ในบ้านเมืองที่กฎระเบียบเคร่งครัดได้อย่างปกติสุข ไม่ได้ทำผิดกฎอะไร นั่นเป็นเพราะ คนที่แย่ หรือ ระบบที่แย่กว่า?

ก่อนจะส่งไม้ต่อไปยัง ทิชา ณ นคร หรือ “ป้ามล” ของเด็กๆ ที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชาย บ้านกาญจนาภิเษก สถานพินิจที่ไม่ต้องใช้แม้แต่รั้วกั้น เพราะที่นี่มีความเข้าใจเป็นเครื่องมือเยียวยาแทนไม้เรียว

หลายๆ ครั้งเมื่อปัญหาเรื่องการเกิดอาชญากรรมในเยาวชนถูกหยิบขึ้นมาพูดถึง ประเด็น “การศึกษา” มักเป็นเรื่องที่ถูกยกขึ้นตามมาจากปากของป้ามล เพราะทราบหรือไม่ว่าในหมู่เด็กที่กระทำความผิด ถูกจับกุม และส่งตัวเข้ามาในระบบซึ่งมีอยู่ราวๆ 5 หมื่นคนต่อปีนั้น มี 66.81 % เป็นเด็กที่ดร็อปเอาท์ หรือถูกขับออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเมื่อเด็ก 1 คนถูกผลักออกจากโรงเรียน โอกาสจะสูงมากที่จะกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรม

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ 17 % ของเด็กๆ ที่กระทำความผิดนั้น มีระดับไอคิวสูงกว่า 110

เพราะฉะนั้นในความคิดของป้ามล เธอเชื่อว่า ระบบการศึกษาไทยต้องมีอะไรที่ผิดพลาด และผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอย่างแน่นอน

“ค่านิยมการศึกษาบ้านเราชอบคิดกันไปเองว่า ถ้าคุณไม่ได้เก่งในสายหลัก ก็จะเสมือนว่าโง่ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เด็กๆ อาชีวะหรือเด็กที่ไม่ได้เรียนมาในสายสามัญเป็นเหมือนดาวเคราะห์อับแสง ที่เมื่อแสงไปไม่ถึง ปัญหาอื่นๆ ก็ตามมา แต่สังคมเราชอบให้เด็กเชื่องๆ เราชอบเด็กไม่เถียง แต่อยู่ดีๆ เราอยากให้เด็กรู้จักปฏิเสธสิ่งไม่ดีนั้น ต้องถามว่า ใครกันแน่ที่สับสน” ป้ามลตั้งคำถาม ก่อนจะตบท้ายด้วยคำชวนคิดว่า

“โลกเราไม่ได้มีคนชั่วเยอะ แต่ที่เยอะนั้นกลับเป็นคนดีที่ยืนเฉยๆ”      

และคนดีที่ไม่ยืนเฉยนั่นเอง ที่จะสามารถนับให้เป็น “พลเมือง” ได้อย่างเต็มปาก โดย รศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สรุปรวมคุณสมบัติของการเป็น “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตย ว่าต้องประกอบด้วยลักษณะ 6 ประการ คือ หนึ่ง มีความรับผิดชอบในตนเอง และพึ่งตนเองได้, เคารพสิทธิผู้อื่น, เคารพความแตกต่าง, เคารพหลักความเสมอภาค, เคารพกติกา และมีส่วนร่วมแก้ปัญหาโดยเริ่มต้นที่ตนเอง

“อย่างเรื่องปัญหาการโกงกินของนักการเมืองนั้น เราต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาก่อนว่า เราเป็นสังคมของการให้สินบน ต่อให้แก้กฎหมายให้ตาย หรือจะมี ป.ป.ช. เกิดใหม่อีกกี่ชุด ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่ฐานที่ซ่อนอยู่ข้างใต้นี่สิ เรื่องใหญ่ เพราะมันคือคนไทยทุกคน”

โดย อ.ปริญญา ได้เอ่ยถึงวิธีการทำตัวเป็น “พลเมืองดี” อย่างง่ายๆ ว่า ถ้าทุกคนมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ทำตัวให้เป็นภาระ หรือสร้างปัญหาแก่สังคม แน่นอนว่า ปัญหาย่อมต้องหมดไป แต่หากประชาชนในประเทศนั้นๆ ไม่ทำตัวให้เกิดประโยชน์ หรือสร้างปัญหาให้แก่ประเทศชาตินั้น ก็จะต้องเปลี่ยนจาก “พลเมือง” ไปเป็นคำว่า “ภาระเมือง”ที่สร้างแต่ปัญหา และเป็นภาระให้แก่ประเทศ

ไม่ต่างจากความเห็นของ สมหมาย ปาริฉัตต์ อนุกรรมการ กนป. ด้านพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดี ที่มองว่า หากคนไทยเลิกนิสัยชอบโทษแต่คนอื่นได้ จะถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะนั่นย่อมหมายถึง การย้อนกลับมามองที่ตัวเองมากขึ้น และเชื่อว่า สังคมจะดีขึ้นมาก หากทุกๆ คนมองเห็นความผิดพลาดของตัวเอง และเริ่มจากการแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อน

เพราะหน่วยเล็กๆ ที่ดี และมีคุณภาพ ย่อมประกอบร่างกลายเป็นหน่วยน้ำดีที่มีคุณภาพมากขึ้น สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าในวงกว้างขึ้นได้อีกด้วย เหมือนอย่างที่ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ทิ้งท้ายไว้ว่า..

.. อันที่จริงแล้วนิสัยแย่ๆ ของคนไทย ก็ยังไม่ถึงกับจะต้องไปสิ้นหวัง!

ความเห็นผู้เขียน

1)ลักษณะนิสัยของคนไทย ไม่ว่าจะ “ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อวด และขี้อิจฉา” ส่วนหนึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะบุคคล ยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะสังคมรอบข้าง สภาพแวดล้อมของการแข่งขัน จะเป็นตัวผลักดันให้คนทำงานต้องปรับตัว แต่ละคนต้องเผชิญและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน กับหัวหน้างานผู้บังคับบัญชา และรุ่นน้องที่ต้องร่วมงานกัน หากคนเรามีนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มคนต่างๆ ปัญหาการทำงานร่วมกัน ก็มักจะย้อนกลับมาเป็นปัญหาของคนๆ นั้นเอง

2)แต่ลักษณะนิสัยของคนไทยที่น่าเป็นห่วง คือ การขาดระเบียบวินัย ไม่เคารพกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม เพราะสิ่งเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้กับสังคมโดยรวม ทั้งในการทำงานร่วมกัน ดั่งคำที่ป้ามลชวนให้คิด ว่า

“โลกเราไม่ได้มีคนชั่วเยอะ แต่ที่เยอะนั้นกลับเป็นคนดีที่ยืนเฉยๆ”      

อย่างเช่น สัญญาณไฟแดงบนทางม้าลาย ให้รถหยุด แต่ไม่มีคนข้ามถนน คนขับรถด้านซ้ายด้านขวา เขาไม่สนใจขับรถผ่านเลย เหลือแต่รถของคุณและรถคันหลังที่จอดต่อจากรถคุณ มันอาจกดดันให้คุณทำตามสังคม คือ ไม่สนใจไฟแดงก็เป็นได้

ดังนั้น การแก้ไขการขาดระเบียบวินัย ไม่เคารพกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก เริ่มที่โรงเรียน และทำต่อเนื่องให้ส่งผลถึงครอบครัว แต่สังคมต้องมีการเปลี่ยนด้วย คือ มีกลุ่มสังคมที่ประณามกดดันคนที่ทำผิดกฎกติกาสังคม จะเป็นการแชร์รูป ช่วยกันต่อต้านทันทีที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ รวมถึงการลงโทษที่รุนแรง ค่าปรับที่สูงทำให้เกิดความเกรงกลัว ไม่ใช่ทำถูกกฎเฉพาะเมื่อมีเจ้าหน้าที่กำกับ ตลอดจนสร้างระบบการจ่ายค่าปรับที่ง่ายสะดวก ไม่ใช่จะจ่ายค่าปรับก็ลำบาก ยอมจ่ายให้เจ้าหน้าที่ง่ายกว่า

นิสัยแย่ๆ ของคนไทย ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องได้รับการแก้ไข ?

นิสัยแย่ๆของคนไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องได้รับการแก้ไข

 

ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ “นิสัย “ห่วย” ช่วย (ไม่) ได้”

 

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20120905/468761/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E2%80%98%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E2%80%99-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2-(%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88)-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.html

ขอบคุณภาพจาก

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=deeplove&month=17-04-2010&group=1&gblog=134

ขอบคุณเพลงจาก อาร์สยาม "นิสัยบ่ดี กระแต อาร์สยาม"

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
tuithai's profile


โพสท์โดย: tuithai
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เผยโฉมหน้า "แบงค์" ที่ "เจ๊ปิ่น ทรงหิว" เต๊าะจนสำเร็จ..งานนี้ไม่หิวอีกต่อไปแล้ว!รถไฟเหาะที่เร็วสุดในโลก! ประกาศปิดถาวร หลังมีคนกระดูกคอหักหลายรายนักข่าวปาเลสไตน์โพสต์รูป ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยสุดอึ้ง! พบหัวแกะมัมมี่นับพันตัวและซากพระราชวังที่ค้นพบในอียิปต์9 วิธีเด็ดแก้ปัญหา แอร์กินไฟช่วงหน้าร้อนอุกกาบาตลูกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยถูกค้นพบบนพื้นผิวโลกยลโฉมความงดงามของนครวัดก๊อปเกรดเอจากฝีมือจีน อลังการไม่แพ้นครวัดของกัมพูชา!ของฟรีที่ไม่อยากได้!! เมื่อซื้อข้าวตามสั่ง เเล้วเจอเส้นผมมาเป็นกระจุก อวสานอาหารมื้อนี้!🥴ความน่ารักสดใส ของปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายผ่านท่อระบายน้ำข้างถนนในญี่ปุ่น
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
🤓 เข้ามาร่วมค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจมากมายของเหล่าผู้คนในโลก Social 😆สถานีโทรทัศน์หนึ่งเดียวในประเทศลาว ที่ยังออกอากาศอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งกระทู้ใหม่