“ประชาธิปไตยและสังคมนิยมแบบพุทธ” จากหนังสือ “ชีวิตพระป่า” โดย ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์
พระพุทธศาสนาเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยและสังคมนิยม
- ตั้งแต่เริ่มเข้ามาบวชเป็นสมาชิกของวัด ก็ต้องผ่านการลงมติของคณะสงฆ์เสียก่อน
- ของต่าง ๆ ที่มีผู้ถวายแก่วัดย่อมเป็นของกลาง ใครจะเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้ ทุกคนมีส่วนที่จะได้รับประโยชน์จากของสงฆ์
- ถ้ามีการพิพาทกัน ก็ต้องตั้งกรรมการพิจารณาเหล่านี้เป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยและสังคมนิยม แต่เป็นแบบพุทธ คือ เป็นการสมัครใจ ไม่บังคับ ถ้าไม่พอใจก็ไปที่อื่นเสีย
- แล้วก็ยังมีคารวะ มีอาวุโส มีบารมีมีกรรม มีวิบาก ไม่ใช่ทุกคนเท่ากันหมด
ในวัดป่าท่านใช้ระบบนี้อย่างเคร่งครัด มีลาภสิ่งใดมาสู่วัด สมภารเป็นผู้สั่งให้แจกจ่าย หรือให้เก็บสะสมไว้ พระรูปใดขาดแคลน พระรูปนั้นได้รับก่อนหรือมากกว่า เครื่องอุปโภคบริโภคหรือปัจจัยก็ขึ้นอยู่ในระบบเดียวกัน อาหารที่บิณฑบาตมาได้ เอามาเทรวมกันก่อน แล้วจึงแจกไปให้ทั่วกัน
บิณฑบาตมาแล้ว นั่งเรียงตามลำดับพรรษามากที่สุดอยู่หัวแถว ไล่ลำดับพรรษาไปจนถึงพระบวชใหม่ นำอาหารที่ได้มานั้นจัดใส่ภาชนะแล้วประเคนองค์แรกก่อนให้ท่านเลือกพิจารณาก่อน จากนั้นจะส่งต่อไปให้องค์ที่สอง สาม จนถึงสุดท้าย ต้องประมาณการกินของตนให้ดี ไม่ตักเยอะจนองค์ท้ายไม่ได้อาหารเลย และเมื่อฉันในบาตรเสร็จนำบาตรไปล้าง ผึ่งแดดให้แห้งไร้กลิ่นคาว ใส่สลกบาตรให้เรียบร้อย
ถ้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์อนุญาตให้ล้างบาตรได้ก็ควรทำ ถือเป็นการปรนนิบัติครูบาอาจารย์ หรือล้างเท้า เช็ดเท้าให้ท่านด้วยก็ยิ่งจะเป็นการดี อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การปูอาสนะ เตรียมกระโถน แก้ว น้ำดื่ม ให้ท่านด้วย
อาจารย์ต้องแผ่เมตตาธรรมแก่ลูกศิษย์ทุก ๆ รูปและให้ความอนุเคราะห์ทุกๆ อย่าง ท่านต้องทำตัวเป็นทั้งพระอาจารย์และพ่อแม่ และศิษย์ก็ตอบแทนท่านอย่างกับอาจารย์และกับบิดามารดารวมกัน เวลาพูดถึงอาจารย์ พระป่าจะต้องเรียกท่านว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์” ทุกครั้ง
ผ้าที่ได้มาจากผ้าป่าหรือกฐิน เก็บเข้าไว้เป็นกองกลาง พระรูปใดมีจีวรเก่าและชำรุดมากแล้ว สมภารเป็นผู้สั่งจ่ายให้ตามความจำเป็น ปัจจัยที่มีผู้มาถวายวัดเข้าบัญชีของวัด ปัจจัยที่เขามาถวายเฉพาะตัว เข้าบัญชีเฉพาะตัวผู้นั้น ๆ ดังนั้นวัดใดมีพระที่มีผู้เคารพนับถือมาก พระในวัดนั้นก็พลอยได้รับประโยชน์ไปทั่วกัน
วัดที่ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านเคยจำพรรษาและดูแลอยู่ มีวัดป่าอุดมสมพร สำนักสงฆ์ถ้ำขาม และวัดป่าภูธรพิทักษ์ ทุกวัดมีนิธิเป็นกองกลางซึ่งตั้งขึ้นด้วยปัจจัยที่มีผู้มาถวายในโอกาสต่าง ๆ ท่านอาจารย์พิจารณาว่าเป็นเงินถวายสงฆ์ ท่านก็ให้ขึ้นบัญชีเป็นของวัด เอาไว้ใช้ประโยชน์บำรุงวัด และบำรุงพระภิกษุในวัด แต่ละวัดมีนิธิเป็นมูลค่านับแสน ๆ บาท
ส่วนปัจจัยที่มีผู้ศรัทธาถวายท่านเป็นส่วนตัว ท่านก็ให้ขึ้นอีกบัญชีหนึ่ง สำหรับท่านจะได้สั่งจ่ายเพื่อการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น ช่วยวัดที่ขาดแคลน สร้างตึกคนไข้ สร้างโรงพยาบาล ทำถนน ทำเขื่อนเป็นต้น วัดป่าที่มีพระภิกษุมากพอสมควรย่อมมีพระทำหน้าที่เป็นพัสดุ เก็บรักษาเข้าของต่าง ๆ ที่มีผู้ถวาย เพื่อความสะดวกในการแจกจ่ายแก่ภิกษุผู้มีความขาดแคลนต่อไป
เพื่อลดภาระให้ญาติโยมต้องไปซื้อของมาถวาย ใช้เวลาว่างเกิดประโยชน์ ก็ทำการตัดเย็บซักย้อมผ้าจีวรใช้เอง รวมถึงไม้กวาดลานวัด ขาบาตร เก็บกิ่งไม้เป็นถ่านสำหรับต้มน้ำปานะ หรือไม้บางชนิดทำเป็นสีย้อมผ้า
เพราะประชาธิปไตยและสังคมนิยมแบบนี้ พระในวัดป่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องจีวร อาหารหรือปัจจัย ตราบใดที่พระอื่น ๆ มี เราก็ต้องมีด้วย พระป่ามีความสามัคคีเพราะรู้ว่าจะต้องร่วมกินร่วมอยู่ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพราะฉะนั้นถ้าพระรูปใดปฏิบัติผิดระเบียบวินัย ก็จะต้องถูกตักเตือน ถ้ายังไม่พึงก็จะต้องถูกตั้งกองรังเกียจ พระป่าไม่ค่อยยอมอดทนต่อพระที่ทำผิดเพราะไม่ละอาย เพราะถ้าขืนปล่อยไป วัดจะเสียชื่อแล้วก็จะเดือดร้อนไปด้วยกันทุกคน