เรื่องเล่าสุดขนลุก ที่กลายเป็นเรื่องจริง!
อันดับ 6 บางสิ่งในภาพนั้น (Something Off About That Picture)
เรื่องเล่า
มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถามหญิงชราว่านี่ใครกัน
“โอ!!” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย??”
มีประเพณีประหลาดๆ เกิดขึ้นในประเทศยุโรปตะวันออกและบางที่ในสหรัฐครับ มันถูกเรียกว่า Post-mortem photography หมายถึงภาพหลังความตาย เป็นงานศิลปะมากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้เสมือนพวกเขามีชีวิต(ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก)ก่อนนำไปฝัง ซึ่งมีคนดังหลายคนได้รับการบริการแบบนี้เช่น ซีเรีย(Church) หัวหน้าบาทหลวงหลังตายก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น
ในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรียศิลปะแบบนี้นิยมกับมาก ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาวหรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้ว เด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บ่อยบางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ
ศิลปะนี้สาปสูญในศตวรรษที่ 19 แต่กระนั้นมันก็ยังมีให้เห็นอยู่ศตวรรษ 20 ในราชวงศ์ชั้นสูงบางแห่ง
อันดับ 5 ศพในพรม (The Corpse in the Carpet)
เรื่องเล่า
มีชายคนหนึ่งพบพรมปูพื้นเก่าๆ ในซอย เขาชอบพรมนี้เลยเอากลับบ้านเพื่อปูพื้นบ้านแบบฟรีๆ แต่เมื่อเขาคลี่พรมออกเขากลับพบสิ่งหน้ากลัวที่อยู่ในพรม มันคือศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆ ของชายคนหนึ่ง และตู้เย็นและตู้เสื้อผ้าของเขาเก็บมาได้ก็เช่นกันเมื่อเขาเปิดออกมามีศพเป็นชิ้นส่วนถูกสับทิ้งราวกับขยะไม่ปาน มันเป็นเครื่องเตือนความจำว่าอย่าเก็บของเก่ามาใช้ใหม่เด็ดขาดไม่งั้นคุณอาจเจอดี
ในปี ค.ศ. 1984 สามนักเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบการม้วนพรมบนทางเดินริมถนน จากนั้นพวกเขาก็ลากมันกลับบ้าน(จะบ้าเรอะพรมของใครก็ไม่รู้) และเมื่อเขาลากพรมเข้าห้องนอนรวม พวกเขาก็ม้วนพรมออกและค้นพบศพที่เน่าเหม็นนานแล้วของผู้ชายไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง เขาตายด้วยกระสุนปืนสองนัดในกะโหลกศีรษะของเขา และคดีนี้เป็นคดีปริศนาไม่มีใครรู้ตัวฆาตกร แต่ที่แน่ๆ สามนักเรียนคนนั้นโดนปรับเงินกว่า 50 พันดอลลาร์ฐานทำลายหลักฐาน เคลื่อนย้ายศพออกจากที่เกิดเหตุ(สม ขี้เหนียวดีนัก โดนซะ)
อันดับ 4 ผู้หญิงพิษ (The Toxic Woman)
เรื่องเล่า
ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรองกับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัส-ดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา....................
เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ Gloria Ramirez อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทางใต้ของRiverside ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่น หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูดตะกุตะกะ โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ
คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดให้กับ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่น ของผลไม้ออกจากปากของเธอ
แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาล Susan Kaneทำการแนบกระบอกฉีดยา และเธอเลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยามันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น คลื่นเยนอาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชักอีกคน จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับเพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด
ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมานและตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาที หลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ(แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดสามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรมาถึงเกิดเลือดพิษแบบนี้ ทำให้เรื่องราวของเธอยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
อันดับ 3 ชู้รักไร้หัว (The Headless Lover)
เรื่องเล่า
หญิงท้องคนนึง บอกสามีของเธอว่า ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลทั้งหมด สามีเลยตัดสินใจตัดหัวชู้รักแล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าหลายแบบ แต่หลักๆแล้วมันก็แนวนี้แหละ
จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt Stephen Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี 1993 เขากำลังยินข่าวดีเมื่อภรรยาเขาตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมัน.......(ตรูเป็นหมันแล้วมันท้องได้ไงฟ่ะะ) ไดแอนจำต้องยอมรับว่าเธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์
โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก
ธันวาคมตอนเย็น ไดแอนตั้งครรภ์ในเตียงโรงพยาบาลเธอโทรศัพท์ถึงชู้รักเธอเกรกอรี่ และแล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาด ไดแอนไม่รู้อะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้นแต่เธอไม่ต้องคิดนานหรอก เพราะอีกชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า
"ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ” สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขาแล้ว
อันดับ 2 ความตายในกลหลบหนี The Not-So-Death Defying Escapist
เรื่องเล่า
มีนักมายากลคนหนึ่งคิดกลหลบหนีโดยให้คนอื่นมัดเขาใส่กุญแจมือแล้วหย่อนให้ฉลามกิน แต่แล้วเมื่อถึงเวลาแสดงจริงเขากลับลืมกุญแจ ส่งผลให้เขากลายเป็นเหยื่อฉลามในที่สุด
แน่นอนกลการหลบหนีนั้นมันเป็นกลอันตราย นักมายากลหลายรายมักบาดเจ็บและเสียชีวิตจากกลนี้เสมอ แต่เจ้าหมอนี้นั้นทำให้เราประหลาดใจ ชายที่ชื่อ เบอร์รุส (Burrus)
เบอร์รุสเป็นศิลปินกลหลบหนี แต่หมองูก็ตายเพราะงูเมื่อเขาทำการแสดงกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา “กลฝังทั้งเป็น” โดยเขาจะทำหลบหนีจากหลุมฝังศพด้วยตัวเองของ ในโลงศพแก้งในขณะที่ตัวเขาสวมกุญแจมือและคล้องโซ่อย่างหนาแน่นจากนั้นโรงศพนั้นถูกหย่อนลงในหลุมลึกถึงเจ็ดฟุต-สามฟิท และมันก็ถูกกลบเหมือนครีมโรยหน้าขนมบนเค้ก
ไม่รู้เคล็ดลับของกลนี้เป็นอย่างไร แต่ที่นี้หลายๆ คนก็ประหลาดใจเมื่อเบอร์รุสไม่ปรากฏตัวให้คนอื่นเห็น หลายฝ่ายเห็นท่าไม่ดี พวกเขาเลยต้องรีบขุดโลงศพของนักมายากลคนนั้นออกมาดู ก็พบว่าเขาตายคาที่เนื่องจากโลงศพของเขาแตก ดินหนักกว่า7ตันทะลักทับตัวเขาจนขาดอาการหายใจ
มีการสอบสวนในเวลาต่อมา ดูเหมือนว่าเขาอาจถูกฆาตกรรม มีใครบางคนสับเปลี่ยนโลงให้มันเบาะบางลง เพื่อเป็นการดับดาวรุ่ง แต่ปริศนาก็เป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน
อันดับ 1 หัวที่มีชีวิต (The Living Severed Head)
เรื่องเล่า
เมื่อโดนตัดหัว หัวของผู้ตายหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!
เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม จากหลักฐานและผลวิจัย กาก้าขอบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงคร๊าๅ!! เหลือเชื่อคะ ว่าหัวเราแม้จะโดนตัดคอแต่เรายังมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง โดยสมองสามารถสั่งการได้ประมาณ 15 วินาทีหลังถูกตัดคอค่ะ
1794 เพชฌฆาตคนหนึ่ง ตัดคอนักโทษโจรกรรม Paul Marat จากนั้นเขาก็หยิบหัวเธอชูสูงขึ้นและตบแก้ม และแล้วหัวที่ถูกตัดนั้นได้พูดคำว่า “ไม่ได้”(couldn)
1836 เพชฌฆาตชื่อคนหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเห็นหัวของนักโทษชื่อ Prunier กะพริบตามายังเขา
ใน 1879 แพทย์ทำการทดลองสูบเลือดสุนัขใส่เข้าไปในหัวฆาตกรชื่อ Menesclou หลังจากเขาโดนตัดหัวนานสามชั่วโมง แต่แล้วเขาก็พบว่าหัวนั้นมีชีวิตอยู่ มันสั่นริมฝีปาก, ดึงหนังตา, และหัวทำท่าทางพูดแม้จะไม่มีคำออกมาก็ตาม
ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุก เมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอ เปิดออกอีกครั้งและจ้องมองเขา
แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า
"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”
---
หากกระทู้นี้ซ้ำขออภัย!