ดุสิตาภูมิ
ดุสิตาภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 4 นับว่าเป็นสวรรค์ที่มีชื่อเสียงอันเป็นที่รู้จักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย และมีผู้ปราถนาจะได้ไปเกิดกันอย่างมากมายเหลือเกิน เพราะที่นี่เป็นที่อยู่ของพระโพธิ์สัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีอย่างครบถ้วน ซึ่งผู้ที่ปรารถนาที่จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ส่วนมากจะอธิษฐานไปเกิดเพื่อรอการเสด็จอุบัติและการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของพระบรมนิยตะโพธิสัตว์ ดุสิตาเทวภูมิ นี้เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป ในเบื้องบน ไกลแสนไกล ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปเป็นระยะทางนับได้ 42,000โยชน์ (ประมาณ 672,000 กิโลเมตร)และอยู่ห่างไกลไปจากโลกมนุษย์ 180,000 โยชน์ (ประมาณ 2,880,000 กิโลเมตร )
บนดุสิตสวรรค์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของและแสงทิพย์ต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์ ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่าง นุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่ม เนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามองลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็น ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่ามาก
เป็นที่อยู่ของเทพชั้นสูง เทพชั้นผู้ใหญ่ เป็นจำนวนมากมายมหาศาล มีเทพเจ้าผู้มเหศักดิ์ทรงพระนามว่า สมเด็จท้าวสันดุสิตเทวาธิราช ทรงเป็น อธิบดี ตุสิตาเทวภูมิ หมายถึงภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ อันมี สมเด็จท้าวสันดุสิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี (อีกชื่อหนึ่งของดุสิตสวรรค์คือ ดินแดนสุขาวดี ) ดุสิตา แปลว่า ที่อยู่ของเทพเจ้า เทวดาผู้มีความยินดีแช่มชื่นเบิกบาน(ด้วยธรรม)อยู่เป็นนิจกาล มีวิมาน ทิพยสมบัติ ร่างกาย สวยงามประณีตกว่าเทวดาในชั้นยามา อายุก็ยืนกว่าประมาณ 4 เท่า ดุสิตาภูมิ เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิแล้ว 400 ปี ในมนุษย์ เท่ากับ 1 วัน ในสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิ (อายุขัยประมาณ 580,000,000 ปี หากเทียบเป็นเวลาโลกมนุษย์)
สำหรับปวงเทพเจ้าผู้สถิตย์อยู่ในดุสิตสวรรค์นี้ แต่ละองค์ย่อมปรากฏมีรูปทรงสวยงดงาม มีรัศมี มีความสง่ากว่าเหล่าเทพยดาชั้นต่ำลงไป ทั้งมีน้ำใจรู้บุญรู้ธรรมเป็นอย่างดี มีจิตยินดีต่อการสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก ทุกวันธรรมสวนะ(วันพระ) ทวยเทพทั้งหมดจะมาประชุมกัน ฟังธรรม เทพเจ้าเหล่านี้ย่อมจะมีเทวสันนิบาต ประ ชุมธรรม ฟังธรรมกันเสมอมิได้ขาดเลย ทั้งนี้ ก็เพราะเหตุที่ องค์สมเด็จท่านท้าวสันดุสิตเทวาธิราช จอมเทพ ผู้มีอิสริยยศยิ่งใหญ่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทรงเป็นเทพเจ้า เป็นพหูสูต เป็นผู้รู้ธรรมะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าเป็นอันมาก
อีกประการหนึ่ง ตามปกติดุสิตสวรรค์นี้ เป็นที่สถิตย์อยู่แห่งเทพบุตรผู้เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งมีโอกาสจัก ได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็น องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต เพราะฉะนั้นท่านท้าวสันดุสิตเทวาธิบดี จึงมักมีเทวโองการตรัสอัญเชิญให้เทพบุตร พระโพธิสัตว์ ผู้ทรงปัญญาทั้งหลาย เป็นองค์แสดงธรรมและในปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จ พระศรีอริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จักกันในหมู่พุทธบริษัทว่า จักได้ ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตอันตรกัปที่ 13 แห่ง ภัทรกัปนี้ พระองค์ก็สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนี้ และมักได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงธรรม โปรดเหล่าเทพบริษัทในดุสิตสวรรค์นี้อยู่เสมอๆ นอกจากจะเป็น สวรรค์ชั้นสำคัญดังกล่าวมาแล้ว
สิริมหามายาเทพบุตร
ในขณะนี้ แดนสวรรค์ ชั้นดุสิต ยังเป็นที่สถิตย์อยู่ของเทพเจ้าองค์สำคัญ ซึ่งเราท่านทั้งหลายรู้จักกันดี เทพเจ้าองค์นี้ก็คือ พระสิริมหามายา
เทพบุตร ผู้มีบุญวาสนาเป็นพระพุทธมารดาแต่ปางบรรพ์ ซึ่งหลังจากที่ประสูติพระสิทธิตถราชกุมารที่ลุมพินีวันได้ 7 วัน ก็เสด็จสวรรคต เสด็จขึ้นมาบังเกิดเป็นเทพเจ้าเสวยทิพย์สมบัติอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตแห่งนี้ จนทุกวันนี้ พระองค์เป็นเทพที่มีพระสิริโฉมงดงามหาที่เปรียบมิได้ และทรงใฝ่การฟังธรรมอย่างยิ่ง และพระองค์จะเสด็จอุบัติเป็นพระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง นั่นก็คือ พระศรีอริยเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นจึงจะเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน (เพราะพระองค์ได้ทรงอธิษฐานตั้งความปรารถนาเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แห่งภัทรกัปนี้)
( อาจมีคำถามว่า ทำไมต้องเกิดเป็นเทพบุตรซึ่งเป็นชาย เกิดเป็นเทพธิดาไม่ได้หรือ ด้วยเหตุผลมีว่า เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธชนนี ซึ่งมีบุญญาธิการ ถ้าไปเกิดเป็นเทพธิดาแล้ว หากเทพบุตรองค์ใดเกิดความปฏิพัทธ์มีจิตรักใคร่เสน่หา จะเกิดเป็นโทษอย่างยิ่งแก่เทพบุตรองค์นั้น )
ทางไปสวรรค์ชั้นดุสิต
ต้องอุตส่าห์พยายามสร้างเสบียง กล่าวคือบุญกุศล ต้องมีกมลสันดานชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เพื่ออบรมปัญญาให้เจริญผ่องใส ไม่หวั่นไหวโยกคลอน ในการประกอบกุศล ไม่เป็นผู้มัวเมาประมาทในวัย และชีวิตของตน เร่งสร้างกุศลเช่น บำเพ็ญทานและ รักษาศีลเป็นเนืองนิตย์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ในทานสูตรว่า...
ดูกรสารีบุตร ! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำ ให้ประเพณี"
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า "เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"
เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำ กาลกิริยาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิต
......................................................................................
หนังสือ นรก สวรรค์ ท่านเลือกได้
http://www.phrasiarn.com
http://www.buddhism-online.org
http://www.dhammajak.net