สาวร้อยผัว มักจะรู้จักในชื่อที่ต่างกันไปในแต่ละภาค ภาคกลางมักจะเรียกว่า รากสามสิบ หรือ สามร้อยราก ซึ่งในส่วนของภาคกลางมีของหวานที่ชื่อว่า “รากสามสิบแช่อิ่ม” ส่วนในภาคอีสานเรียกว่า ผักชีช้าง ส่วนภาคใต้รับประทานเป็นผักเช่นกันเรียกว่า ผักหนาม เพราะลำต้นมีหนามรับประทานเป็นผัก ใช้ยอดอ่อน ผลอ่อน หน่ออ่อน (ซึ่งพืชชนิดนี้เป็นพืชตระกูลเดียวกับหน่อไม้ฝรั่ง) โดยรับประทานสดๆ ต้ม แกงส้ม แกงกะทิ เป็นต้น และยังมีพืชตระกูลเดียวกันมีลักษณะใกล้เคียงกันมากกับรากสามสิบมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Asparagus filicinus Buch.-Ham. บางท้องที่เรียกรากสามสิบ ต้นนี้ทางเหนือเรียก “ม้าสามต๋อน” ใช้เป็นยาดองเป็นยาบำรุงสำหรับเพศชาย ซึ่งทั้งสองชนิดมีชื่อเป็นภาษาสันสกฤตเหมือนกัน คือ Satavari จึงมีสรรพคุณทางยาคล้ายๆกัน นอกจากรับประทานเป็นผักแล้วรากของสมุนไพรชนิดนี้ยังสามารถนำมาทุบหรือขูดกับน้ำเพื่อใช้ซักเสื้อผ้าได้อีกด้วย
มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พยายามอย่างยิ่งที่จะนำสมุนไพรรากสามสิบกลับมาสู่สังคม แต่เนื่องจากรากสามสิบในอดีตเป็นสมุนไพรพื้นๆ ที่คนทั่วไปกินเป็นในรูปแบบอาหารเป็นยาจึงไม่ค่อยมีการบันทึก มีเพียงคำบอกเล่าของผู้คนเท่านั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่มีตำราทำอาหารของ "ตำรับสายเยาวภา" และ "หนังสือพรรณไม้พระตำหนักสวนปทุมเทิดพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ได้บันทึกไว้ว่า รากสามสิบใช้เป็นอาหารได้ และในหนังสือได้บรรยายว่า รากของรากสามสิบสามารถใช้แช่อิ่มกินเป็นของหวานได้ และปัจจุบันในจังหวัดสกลนครและระยองได้มีการรื้อฟื้นการนำรากสามสิบมาใช้ประโยชน์ โดยนำมาทำเป็นอาหารและใช้เป็นยาบำรุงทั้งการรับประทานเป็นยาดองเหล้า (ใช้รากแห้งดอง) ยาต้ม ยาชง เป็นต้น
รากสามสิบ…สืบสานตำนานยาวนานนับพันปี
“สาวร้อยผัว” พลังแห่ง “Female Rejuvenation”
หมอยาโบราณส่วนใหญ่จะรู้ว่าสาวร้อยผัวเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี จึงมีชื่อว่า สาวร้อยผัว กล่าวคือไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ยังสามารถมีลูกมีผัวได้ โดยจะใช้รากมาต้มกิน หรือปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง แต่ชื่อสาวร้อยผัวในปัจจุบันแทบไม่มีใครรู้จักแล้ว ยกเว้นลูกหลานหมอยาบางคนที่เคยได้ยินปู่ที่เป็นหมอยาและพ่อพูดถึงต้นนี้อยู่บ้าง เช่น หลานหมอยาที่บุรีรัมย์ นายพิทักษ์ ตีเหล็ก ปัจจุบันเป็นเจ้าพนักงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นหลานของหมอยาชื่อนายอ่ำ ตีเหล็ก และหมอยาที่มีพระคุณต่อการพัฒนาสมุนไพรของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรชื่อ นายส่วน สีมะพริก (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ได้เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า สาวร้อยผัว เช่นกัน
และเป็นที่น่าแปลกใจว่า ในอินเดียมีการเรียกสมุนไพรชนิดนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ศตาวรี (Shatavaree) มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราบอกว่าหมายถึงผู้หญิงที่มีร้อยสามี “Satavari (this is an Indian word meaning 'a woman who has a hundred husbands')” สมุนไพรชนิดนี้ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มีมาก่อนอายุรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และในอินเดียใช้รากสามสิบทำเป็นของหวานเช่นเดียวกับเมืองไทย
สมุนไพรที่มีอนาคต
รากสามสิบ เป็นสมุนไพรที่ใช้มากที่สุดในอินเดียชนิดหนึ่ง ในปี ค.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๐๐ อินเดียใช้สมุนไพรชนิดนี้ถึง ๘,๔๖๐ ตัน เป็นอันดับสองรองจากมะขามป้อมที่ใช้อยู่ที่ ๑๕,๑๔๗ ตัน ปัจจุบันมีสารสกัดด้วยน้ำของรากสามสิบจากอินเดีย ไปจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น Dietary supplement กล่าวคือ สามารถขายได้ทั่วไปอย่างอิสระไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ รวมทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังเป็นสมุนไพรที่อยู่ในรายการสินค้าที่จะลดภาษีจริง ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ภายใต้ข้อตกลงไทย-จีนตามพิกัดศุลกากร สมุนไพรชนิดนี้จึงน่าจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งมีรายงานในปี ๒๕๔๘ ประเทศไทยส่งออกรากสามสิบปีละ ๑๖,๖๕๘,๕๖๖ บาท โดยส่งออกไปที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ
ในตำราอายุรเวทใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง ในการทำให้ผู้หญิงกลับมาเป็นสาว (Female rejuvenation) และนอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆ ของผู้หญิง เช่น ภาวะประจำเดือนไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก ตกขาว ภาวะหมดอารมณ์ทางเพศ ภาวะหมดประจำเดือน (Menopause) บำรุงน้ำนม บำรุงครรภ์ ป้องกันการแท้ง (Habitual abortion)
นอกจากจะใช้สมุนไพรชนิดนี้สำหรับผู้หญิงแล้ว ในอินเดียยังใช้ในการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็คล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สมุนไพร ม้าสามต๋อน เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศ นอกจากนี้รากสามสิบยังถือว่าเป็นสมุนไพรแห่งการฟื้นฟูพลังชีวิต เหมาะกับผู้สูงอายุที่ท้อแท้ ซึมเศร้าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต โดยคั้นน้ำสดๆ รับประทานกับน้ำผึ้ง ในปัจจุบันในบางพื้นที่ยังนำรากสามสิบสดเคี้ยวกินเล่นเพื่อบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วย ส่วนในอินเดียมักนิยมรับประทานน้ำคั้นสดกับนม ต้มน้ำคั้นสดกับนมหรือผงแห้งกับเนย และในอินเดียยังใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาอื่นๆ อีกมาก เช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ
การศึกษาวิจัยสมัยใหม่
สาวร้อยผัว หรือรากสามสิบเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ ลดการอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ
ในการศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลองพบว่า การใช้ในขนาดสูง ๒ กรัมต่อกิโลกรัมด้วยการกินไม่พบพิษ และการใช้ในระยะยาวด้วยการต้มน้ำ ความเข้มข้น ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แล้วให้กินทั้งเนื้อและน้ำนาน ๔ และ ๓๒ สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม
การศึกษาที่กล่าวข้างต้นเป็นการศึกษาในห้องทดลอง ทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง ดังนั้นการนำมาใช้เป็นยากับคนจึงต้องมีการศึกษาทดลองกันต่อไป ส่วนที่มีการทดลองทางคลินิก (การใช้ในคนจริงๆ) คือการใช้ในการรักษาโรคกระเพาะ โดยการให้รับประทานผงแห้งของราก พบว่าได้ผลดีในการรักษาแผลในกระเพาะและลำไส้เล็ก และอาการที่มีกรดเกิน (Acid dyspepsia)
ข้อควรระวัง
เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้หายไปจากสังคมมานาน การที่จะนำมาใช้เป็นยาอีกครั้งควรระวัง เพราะเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงห้ามใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น ท่านที่เป็นโรค Uterine fribrosis หรือ Fibrocystic breast
----------------------------------------
น้ำรากสามสิบ (สูตรดั้งเดิม)
ส่วนผสม
๑. สมุนไพรรากสามสิบ ใช้ส่วนราก ๒.๕ กก.
๒. น้ำ ๑๐ ลิตร
วิธีทำ
๑. นำรากสามสิบมาล้างให้สะอาด
๒. ปอกเปลือกและดึงไส้ออก
๓. หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
๔. ล้างให้สะอาดอีกครั้ง
๕. ต้มน้ำให้เดือด
๖. ใส่รากสามสิบ ลงในข้อ ๕
๗. เคี่ยวประมาณ ๓ ชั่วโมง
หมายเหตุ: ท่านสามารถปรุงรสได้ตามใจชอบโดยเพิ่มน้ำตาลกรวด และใบเตย เพื่อเพิ่มความหอมหวาน
รากสามสิบแช่อิ่ม
ส่วนผสม
๑. สมุนไพรรากสามสิบ ใช้ส่วนราก ๒.๕ กก.
๒. น้ำตาลทราย ๑.๕ กก.
๓. น้ำ ๕ ลิตร
วิธีทำ
๑. นำรากสามสิบมาล้างให้สะอาด
๒. ปอกเปลือกและดึงไส้ออก
๓. หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
๔. ล้างให้สะอาดอีกครั้ง
๕. ต้มน้ำให้เดือด
๖. เติมน้ำตาลทราย ลงในข้อ ๕
๗. เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลายหมด
๘. ใส่รากสามสิบ
๙. เคี่ยวต่อจนเป็นสีเหลืองทอง








