ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความสามารถของ
ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความสามารถของ
ผู้สร้าง....
اللهอัลลอฮ์ เขียนภาษาอาหรับ ตรงกับภาษาอังกฤษ "GOD" คือ พระนามของพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์
คนไทยจำนวนมากเข้าใจดังนี้ว่า คนพุทธนับถือพระพุทธเจ้า คนคริสต์นับถือพระเยซู ส่วนมุสลิมนับถืออัลลอฮฺ ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าคือศาสดา(เป็นมนุษย์) พระเยซูก็คือศาสดา(ก็เป็นมนุษย์) ดังนั้นอิสลามนับถืออัลลอฮฺ ก็คงจะเป็นศาสดาล่ะมั้ง? ..ไม่ใช่ครับ อัลลอฮฺไม่ใช่มนุษย์ อัลลอฮฺเป็นพระนามที่พระผู้เป็นเจ้าเรียกพระองค์เอง ดังนั้นเมื่อมุสลิมกล่าวถึง อัลลอฮฺ ก็ให้เข้าใจว่าหมายถึงพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงและสิ่งมีชีวิตทั้ง หลาย ซึ่งพระเจ้านั้นมีองค์เดียวเป็นผู้สร้าง และควบคุมกฎระเบียบกลไกของธรรมชาติ ซึ่งก็เป็นพระเจ้าเดียวกับที่ชาวยิวและชาวคริสต์นับถือ (โมเสสและเยซูก็เป็นศาสดาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่เผยแผ่ ศาสนา) และจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนนั้นรู้จักพระเจ้าครับ ถึงแม้พวกเขาจะเรียกชื่อไม่ถูกหรือไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือพระเจ้าก็ตาม แต่จิตใต้สำนึกมนุษย์รู้ว่ามีอำนาจซึ่งควบคุมอยู่เบื้องหลังความเป็นไปของ ธรรมชาติ และความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ มีผู้ซึ่งให้คุณและโทษอยู่เบื้องหลัง ให้มีการประสพความโชคดีและโชคร้าย มนุษย์หลายคนเชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำชั่วไว้ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้รับโทษ แต่ซักวันต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนึ่งอย่างใดแน่นอน.. และเหตุที่มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ก็เพราะจิตใต้สำนึกเขารู้ว่า มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยตอบแทนผลการกระทำอยู่นั่นเอง
มุสลิมเป็นกลุ่มชนที่รักพระเจ้ามากที่สุด มีการละหมาดอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง และเป็นกลุ่มชนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติมากที่สุด มีความรักและใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุด
พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาอย่างไร้จุดหมายหรือให้มนุษย์ใช้ชีวิตบนโลกอย่าง ไม่รู้จักบุญคุณของพระองค์เลย แต่ได้ส่งบรรดาผู้สอนสัจธรรมมาทุกยุค ซึ่งได้แก่บรรดา“นบี”ซึ่งแปลว่า“ผู้บอกข่าว” บุคคลเหล่านี้จะมาสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว และมาแจ้งข่าวต่างๆล่วงหน้าโดยเฉพาะเรื่องการมาของนบีคนต่อๆไปหรือการมาของ นบีท่านสุดท้ายคือท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งสำหรับท่านนบีมุฮัมมัดเองนอกจากจะเป็นผู้สอนสัจธรรมและเป็นแบบอย่างใช้ชีวิตให้ อยู่ในทางสวรรค์และรอดพ้นนรกไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ท่านก็ยังแจ้งให้เราทราบถึงเหตุการณ์ล่วงหน้ามากมาย เพื่อให้เราเตรียมพร้อมรับมือไม่ว่าจะเป็นอุบัติภัยต่างๆที่เกิด สภาพสังคม สภาพของมนุษย์ ข่าวดีข่าวร้ายสำหรับโลกมุสลิม ฯลฯ ซึ่งมันได้ทยอยเกิดขึ้นจริงเกือบจะครบทุกข้อแล้ว ส่วนบรรดานบีนี้จะมีบางคนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็น“รอซูล” ซึ่งแปลว่า “ผู้นำสาส์น” (ซึ่งสาส์นที่นำมาก็คือสาสน์หรือศาสนา)ในภาษาไทยมักจะแปลว่า“ศาสนทูต” ซึ่งหมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่นำคำสอนหรือคัมภีร์จากพระเจ้ามาเทศนาให้แก่ มนุษย์ ซึ่งบรรดานบีและรอซูลนั้นจะได้รับการดลใจหรือที่เรียกว่าวิวรณ์(วะฮีย์)ให้ พูดหรือกระทำสิ่งต่างๆ ฉะนั้นในอิสลามจึงไม่มีคำว่า“ศาสดา” แต่เพื่อความเข้าใจได้ง่ายสำหรับคนต่างศาสนิกเราจึงเรียกบรรดานบีและรอซูล ว่าศาสดา ซึ่งมีความหมายที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับภาษาไทย เนื่องจากในความเชื่อของคนไทยเรานั้นศาสดาหมายถึงผู้ก่อตั้งศาสนาหรือลัทธิ ด้วยตนเอง แต่สำหรับนบีและรอซูลนั้นไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งศาสนา แต่เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ทางศาสนา ส่วนสำหรับภาษาอังกฤษนั้นไม่มีปัญหาครับเพราะคำว่า “Prophet” มีความหมายเดียวกับทั้งคำว่า“นบี”และคำว่า“ศาสดา” ซึ่งคำว่า Prophet แปลว่าผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้สอนศาสนาหรือแจ้ง ข่าวก็ได้ หรือจะแปลว่าผู้ก่อตั้งศาสนาก็ได้
บรรดารอซูลทั้งหลายต่างก็ได้ทำหน้าที่เผยแผ่คัมภีร์ ซึ่งก็คือพระดำรัสจากพระเจ้า อย่างเช่นท่านนบีมุฮัมมัดก็ได้รับคัมภีร์อัล-กุรอานโดยได้รับการดลใจให้ กล่าวออกไปในลักษณะค่อยๆทยอยลงมาทีละโองการ กว่าจะครบทั้งเล่มก็ใช้เวลาถึง 23 ปี ก่อนหน้ายุคของนบีมุฮัมมัดนั้นรอซูลท่านอื่นๆก็ทำหน้าที่นี้เช่นกัน เช่นท่านนบีดาวูด(เดวิด)ได้รับคัมภีร์ซะบูร, นบีมูซา(โมเสส)ได้รับคัมภีร์เตารอด(ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาเก่า), และนบีอีซา(เยซู)ได้รับคัมภีร์อินญีล(ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาใหม่) เป็นต้น แต่เนื่องจากบรรดานบีและรอซูลทั้งหลายในอดีตเมื่อท่านเสียชีวิตไป คำสอนก็จะถูกบิดเบือน เนื้อหาของคัมภีร์ก็จะถูกแก้ไขไปบางส่วน และทำให้ศาสนาอิสลามของพระเจ้าถูกบิดเบือนหรือแตกออกไปเป็นศาสนาอื่น ฉะนั้นจึงทำให้แต่ละศาสนามีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับอิสลามในบางเรื่อง (ต่างกับที่เราเรียนในตำราของพวกลัทธิวัตถุนิยมว่า ศาสนาอิสลามถูกพัฒนาลอกเลียนมาจากศาสนาอื่น) แต่ที่พระเจ้าให้เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะจะได้ให้นบีมุฮัมมัดมาเป็นรอซูลคน สุดท้ายเพื่อปิดฉากการประทานคัมภีร์ บรรดารอซูลแต่ละท่านนั้นไม่ได้มาสอนศาสนาใหม่แต่มายืนยันในคำสอนเดิมของรอซูลคนก่อนๆ อย่างในคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ได้กล่าวว่าพระเยซูพูดว่า “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำพูดของผู้เผยวัจนะ เรามิได้มาเลิกล้างแต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ” (ในมัทธิว 5) นบีมุฮัมมัดก็เช่นกัน ท่านไม่ได้ปฏิเสธคำสอนของรอซูลคนก่อนๆ แต่มาทำหน้าที่ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น และสำหรับยุคของท่านนั้นถือว่ามีคำสอนที่สมบูรณ์ที่สุดในทุกเรื่องทุกศาสตร์ เพราะเป็นรอซูลคนสุดท้าย พระเจ้าได้กล่าวในอัล-กุรอานว่า “วันนี้เราได้ทำให้ความครบถ้วนสมบูรณ์แก่ศาสนาของเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของเรา เราเลือกอิสลามให้เป็นศาสนาของสูเจ้า” (บทอัล-มาอิดะฮฺ โองการที่ 3)
ตัวอักษรในคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นดำรัสของพระเจ้าทั้งหมด
สำหรับท่านนบีมุฮัมมัดนั้นเป็นรอซูล ท่านสุดท้าย จะไม่มีนบีและรอซูล อีกหลังจากนี้ ศาสนานั้นได้สมบูรณ์ไปแล้ว นบีมุฮัมมัดเป็นรอซูลของมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ในยุคนี้ซึ่งเป็นกลุ่มชน ยุคสุดท้ายของโลก ดังนั้นกฎบัญญัติต่างๆจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสอน ไปตามกระแสสังคม เพราะถือว่าคำสอนที่พระเจ้าประทานมาให้นบีมุฮัมมัดนั้นเหมาะสำหรับมนุษย์และ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว และบังคับใช้นับตั้งแต่สมัยท่านนบีมุฮัมมัดประกาศศาสนาไปถึงอนาคตจนกระทั่ง วันสิ้นโลก
การละหมาด เป็นการปฏิบัติศาสนกิจอย่างหนึ่งในศาสนาอิสลาม เพื่อเป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺ มุสลิมทุกคนจะต้องละหมาด วันละ 5 เวลา เรียกว่า ละหมาดฟัรฎู ละหมาด หมายถึง การขอพร ความหมายทางศาสนาหมายถึง การกล่าวและการกระทำ
การละหมาดเป็นการสร้างเอกภาพอย่างหนึ่งของมุสลิม เมื่อละหมาดมุสลิมทั่วโลก หันหน้าไปทางกิบละฮฺ เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ การละหมาด ฝึกฝนให้เป็นคนตรงต่อเวลา มีความอดทน และขัดเกลาจิตใจ ให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่ประพฤติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในทางชั่วร้าย ดังอัลกุรอานระบุไว้ ความว่า
" และจงละหมาด แท้จริงการละหมาดจะยับยั้งความลามกอนาจารและสิ่งต้องห้าม "
อัล - อังกะบูต : 45