ควรเลือกซื้อไอแพดใหม่ไหนดี Air หรือ mini RD
เป็นคำถามชวนปวดหัวสำหรับหลายคนที่เห็นแอปเปิ้ลออก iPad Air และ iPad mini มาแบบสเป็คเดียวกันเป๊ะ ต่างกันที่หน้าจอขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก แล้วจะเลือกซื้อรุ่นไหนดี (ในที่นี้ขอเรียก iPad mini with Retina Display เป็น iPad mini เฉย ๆ นะครับเพื่อความสะดวกในการเขียน)
ตั้งแต่แอปเปิ้ลออก iPad Air และ iPad mini ผมเองได้รับคำถามจากคนรอบตัวและเพื่อนในอินเตอร์เน็ตในคำถามเดียวกันว่าซื้อเครื่องไหนดีระหว่าง iPad Air หรือ iPad mini เพราะความต่างของทั้งคู่หลัก ๆ คือหน้าจอต่างขนาดกันและน้ำหนักเครื่องที่ต่างกันอยู่ราว 140 กรัม ราคาต่างกัน 3,500 บาทในความจุเดียวกัน ผมลองนึกดูคนที่ซื้อ iPad จึงจับแยกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มทั่วไปและกลุ่มเฉพาะทาง
กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป
กลุ่มนี้เป็นคนที่ใช้งานเครื่องทั่วไปไม่ได้เจาะจงอะไรพิเศษ เน้นพกพาเครื่องติดตัวไปไหนมาได้ด้วยแบบสะดวก ๆ หน่อย การที่แอปเปิ้ลทำให้ทั้งสองรุ่นสเป็คเดียวกันน้ำหนักต่างกันแค่นิดหน่อยทำให้ตัดสินใจยาก เพราะหลายคนอยากจะได้น้ำหนักเบาแบบ iPad mini และหน้าจอใหญ่แบบ iPad Air ซึ่งในความเป็นจริงเราคงต้องเลือกเครื่องใดเครื่องหนึ่ง
ตัวผมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับ ครั้งแรกที่เห็น iPad Air อยากได้เลยครับ เพราะคิดว่าเครื่องเบาดีคงได้พกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยบ่อย ๆ แต่สุดท้ายเลือก iPad mini เป็นเครื่องประจำตัวเหตุผลคือขนาดเครื่องเล็กพกสะดวกน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพราะในกระเป๋าถือหรือสะพายเป้ออกจากบ้านไม่ได้มีแค่ iPad mini แต่ยังมีสิ่งของอื่น ๆ รวมอยู่ในกระเป๋าด้วยน้ำหนักกระเป๋าบางวันเรียกว่าสะพายนาน ๆ มีปวดไหล่เหมือนกัน ยอมรับว่าการมาของ iPad Air ทำให้ลังเลในการเลือกเหมือนกัน แต่สุดท้ายตัวผมเลือก iPad mini เหมือนเดิมด้วยเรื่องขนาดและน้ำหนัก
จุดนี้อยากให้ผู้อ่านนึกถึงตัวเองด้วยว่าถ้าคุณต้องพกพาเครื่องใดเครื่องหนึ่งรวมกับอุปกรณ์อื่น ๆ จะสะดวกหรือไม่ เรื่องน้ำหนักสำหรับบางคนอาจะไม่เป็นประเด็นเท่าไหร่เพราะต่างกันอยู่ไม่มาก แต่เรื่องขนาดตัวเครื่องที่กว้างยาวต่างกันลองช่างใจดูก่อนว่าเครื่องไหนเราหิ้วไปด้วยใส่กระเป๋าไปด้วยแล้วไม่เกะกะ ถ้าทั้งคู่ไม่ได้เป็นประเด็นคำตอบอาจจะออกมากลาย ๆ ว่าเป็น iPad Air แล้วก็ได้ครับ
ส่วนในกรณีที่ผู้อ่านเอียงมาทาง iPad mini ต้องยอมรับ 2 อย่างครับ
ประการ 1 ถ้าจะซื้อ iPad mini ใช้งานคือตัวหนังสือบนหน้าจอตัวเล็กเมื่อเทียบกับ iPad Air ซึ่งตัวผมเองชินมาตั้งแต่ iPad mini รุ่นแรกพอมาเป็น iPad mini (Retina Display) เลยไม่ได้รู้สึกอะไร ปัญหาของตัวหนังสือเล็กหลัก ๆ ที่เจอจะเป็นในแอปพิมพ์เอกสาร อาทิ Pages พอเทียบหน้าจอต่อหน้าจอจะเห็นได้ว่าตัวหนังสือมีขนาดต่างกันพอควร ถ้าผู้อ่านส่วนการอ่านตัวหนังสืออ่านข้อมูลตามเว็บต่าง ๆ จุดนี้ผมไม่มองว่าเป็นอุปสรรคเท่าไหร่เพราะเราสามารถขยายหน้าจอได้ ซึ่งต่างกับการพิมพ์เอกสารที่เราต้องการหน้าจอแบบเต็มเห็นบรรทัดการพิมพ์ทั้งหมด.
ซ้าย iPad Air / ขวา : iPad mini Retina Display - หน้าจอขณะพิมพ์เอกสารด้วย Pages
ส่วนการนำมาอ่านหนังสือหรือนิตยสารหรือเอกสารที่เป็น PDF หน้าจอ iPad Air เห็นชัดถนัดตากว่าแน่นอน แต่ถ้าเจอตัวหนังสือเล็ก ๆ ก็ต้องขยายหน้าจอเหมือกัน ส่วนถ้าเป็นหนังสือแบบ EPUB (รูปตัวอย่างด้านล่าง) จุดนี้ไม่ได้แตกต่างกันเพราะเราสามารถเลือกตัวหนังสือให้ใหญ่ขึ้นได้ตามที่เราชอบได้เอง ความต่างในเรื่องการนำมาอ่านหนังสือ iPad mini ได้เปรียบเรื่องเครื่องเล็กพกสะดวกกว่า iPad Air
ถ้าผู้อ่านสายตาสั้นมากหรือสายตายาวมากการเลือกซื้อเครื่องใดเครื่องหนึ่งน่าจะเอนไปทาง iPad Air เพราะหน้าจอใหญ่อ่านเห็นชัดสบายตากว่า iPad mini ที่ตัวหนังสือมีขนาดหดเล็กลงในหน้าจอเดียวกันพอสมควร ยิ่งถ้าซื้อให้ผู้สูงอายุใช้งาน iPad Air น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า.
ซ้าย iPad Air / ขวา : iPad mini Retina Display หนังสือแบบ EPUB เลือกขนาดตัวหนังสือเดียวกัน.
ซ้าย iPad Air / ขวา : iPad mini Retina Display หนังสือแบบ EPUB บน iPad mini เลือกขนาดตัวหนังสือใหญ่กว่า.
ประการที่ 2 ถ้าจะเลือก iPad mini คือสีหน้าจอจะจืดกว่า iPad Air ต้องบอกว่าสีจืดไม่ใช่สีเพี้ยนนะครับ เพราะหลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมามีคนเข้าใจผิดหลายคนว่าหน้าจอ iPad mini สีเพี้ยน ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้เพี้ยนแบบสีเปลี่ยนไป แต่จะเป็นแบบสีไม่ฉ่ำไม่สดเท่าหน้จอ iPad Air ถ้านำมาเทียบกันเห็นความต่างแน่นอน แต่ถ้าอยู่เครื่องเดียวไม่มีเครื่องเปรียบเทียบก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก สีจืดกว่าเท่าที่ใช้เองมีผลตอนแต่งรูปภาพในแอปฯต่าง ๆ และต้องนำรูปภาพนั้นส่งไปให้คนอื่นใช้งานต่อ สีรูปภาพที่ปรับแต่งจากหน้าจอ iPad mini พอไปถึงปลายทางอาจจะเข้มจัดเลยก็เป็นได้เพราะด้วยความที่สีหน้าจอจืดเราอาจปรับสีรูปขึ้นไปให้เข้มขึ้น กว่าความเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเรื่องนี้ถ้าผู้อ่านต้องมีการปรับรูปต่าง ๆ และส่งต่อให้คนอื่นคงต้องหันไปหา iPad Air ที่หน้าจอให้สีตรงกว่า
กลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะทาง
สำหรับกลุ่มเฉพาะทางผมมีโอกาสได้เจอคนทำงานเฉพาะทาง 2 กลุ่มคือกลุ่มคนทำงานทางดนตรีอย่างซาวด์เอ็นจิเนียร์ ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบเช่นกันว่าเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ทางดนตรีสมัยใหม่เขาทำมาให้เชื่อมต่อใช้งานร่วมกับ iPad กลุ่มนี้ไม่ได้พูดถึงสีสันของหน้าจอว่าเป็นอย่างไร แต่เน้นขนาดหน้าจอที่เวลาแสดงผลปุ่มปรับค่าต่าง ๆ ต้องจิ้มนิ้วลงไปง่าย ตัวเลือกเลยเป็น iPad Air เพราะขนาดหน้าจอใหญ่กว่า
iPad 2 กับการใช้แอปด้านดนตรี Mackie Master Fader ร่วมกับมิกเซอร์ Mackie DL1608
อีกกลุ่มที่เลือก iPad Air เหมือนกันคือกลุ่มนักออกแบบกราฟิกต่าง ๆ ที่ต้องการพื้นที่การใช้งานที่ใหญ่ การแสดงผลที่เห็นรูปเต็มตาถือเป็นจุดที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเลือก iPad Air ผลพลอยได้ของหน้าจอใหญ่คือถ้าต้องมีการวาดรูปขีดเขียนบ้างในบางโอกาสหน้าจอใหญ่วาดได้สนุกกว่า การมาของ iPad Air ทำให้คนกลุ่มนี้ปลื้มพิเศษเพราะตัวเครื่องบางขึ้นน้ำหนักก็เบาขึ้นกว่ารุ่นที่ผ่าน ๆ ประกอบกับสีสันหน้าจอที่สดฉ่ำแสดงผลได้ดีกว่า iPad mini จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เลือก iPad Air
จากที่ผมทั้งใช้เองและสอบถามคนทั้ง 2 อาชีพที่เป็นเฉพาะทาง วิธีการเลือกแน่นอนว่าไม่เหมือนกัน โดยผมเองคือคนจากกลุ่มทั่วไปที่ไม่ซีเรียสกับเรื่องสีจืดมากนัก ต้องการเครื่องเล็กพกสะดวกเลยเลือก iPad mini แต่ก็ต้องยอมรับจุดด้อยของเครื่องนี้ด้วยตามที่บอกไปแล้วข้างต้น ส่วนเพื่อนผมอีกสองคนสองอาชีพการมาของ iPad Air ทำให้พวกเขายิ้มแก้มปริเพราะหน้าจอใหญ่เท่าเดิม แต่น้ำหนักลดลงพกสะดวกกว่าที่ผ่านมา
การเลือกซื้อสิ่งของราคาสูงอยากให้ผู้อ่านนึกถึงวัตถุประสงค์ที่เราจะนำมาใช้งานด้วยว่าเราจะนำมาใช้งานอะไรบ้าง ถ้าเรานึกออกก็น่าจะตอบโจทย์ตัวเองได้ว่าจะซื้อ iPad Air หรือ iPad mini รวมถึงการซื้ออุปกรณ์แนวแกดเจ็ตอื่น ๆ ด้วย
http://www.siampod.com/2013/11/27/choose-one-ipad-air-or-ipad-mini-retina/