สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาพบกับ ป๋าเอก TechXcite สาขาเก่าเจ้าประจำกับการ Review และ Unboxingอุปกรณ์ไอทีใหม่ๆน่าสนใจกันเช่นเคย โดยในวันนี้ผมได้เดินทางไปที่ห้างมาบุญครองเพื่อสัมผัสกับ iPad Airแท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple กันที่ร้าน Happy Phone MBK ตั้งแต่วันแรกที่เครื่องหิ้วเดินทางมาถึงห้างมาบุญครองกันในวันแรก ว่าแล้วผมเลยขออนุญาตแกะกล่อง iPad Air กันก่อนใคร (ก่อนคุณพี่เจ้าของร้านเสียอีก 555+) และเก็บภาพมาให้ชาว TechXcite ได้ชมกันเหมือนเช่นเคยครับ :)
นี่แหละครับหน้าตาของกล่อง iPad Air โดยตัวที่เราได้มาลองแกะกล่องกันนั้นเป็นรุ่น WiFi+Cellular (4G LTE) ความจุ 16GB และเป็นสี Space Gray (หน้าดำหลังเทา) ซึ่งเป็นสีใหม่ที่ Apple นำมาใช้กับ iPhone 5s เป็นรุ่นแรกก่อนจะนำมาใช้ต่อกับ iPad Air นี่แหละครับ
รายละเอียดด้านหลังกล่อง iPad Air ครับ
เอาละครับได้เวลาทำพิธีกรรมแกะกล่อง iPad Air กันเสียทีต้องระวังมือนิดนึงเพราะคุณพี่เจ้าของร้านให้เราแกะกล่องเองเลย 555+
แกะกล่อง iPad Air ออกมาเซย์ฮัลโหลรอบแรกกันก่อน เดี๋ยวเราพักเรื่องตัวเครื่องไว้ก่อนไปดูอุปกรณ์ภายในกล่องกันครับ
ทั้งนี้สำหรับ iPad Air เครื่องที่เราได้มา Preview นั้นเป็นเครื่องของฮ่องกงเพราะฉะนั้นก็เลยมาพร้อมกับหัวปลั๊ก Adapter แบบสามขาซึ่งก็ต้องไปหาตัวแปลงแบบสองขามาใช้คู่กันกับปลั๊กในบ้านเราแทน โดยนอกเหนือจากนี้แล้วภายในกล่องก็จะมีสาย Lightning สำหรับชาร์จแบตเตอรี่และซิงค์ข้อมูล, คู่มือแผ่นพับขนาดย่อและลวดเกี่ยวถาดซิม (สำหรับรุ่น Cellular) ก็เรียกได้ว่าในส่วนภายในกล่อง iPad Air ก็คงจะไม่มีอะไรหวือหวาให้ต้องตะลึงหรอกครับ
เพราะไอ้ที่มันน่าตะลึงจริงๆก็คือตัวเครื่อง iPad Air นี่แหละครับซึ่งต้องบอกว่าตอนแกะกล่องหยิบออกมานั้นรู้สึกได้เลยว่าตัวเครื่องเบาขึ้นอย่างชัดเจนหากเทียบกับความรู้สึกตอนสมัยที่ผมใช้งาน iPad 3 เรียกได้ว่าแตกต่างกันคนละเรื่องเลยทีเดียวเพราะ iPad Air ผมคิดว่ามันดูกะทัดรัดมากขึ้นซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะขอบหน้าจอมันเล็กลงนี่แหละ โดยถ้าว่ากันในแง่ของตัวเลขแล้วขนาดและน้ำหนักของ iPad Air นั้นอยู่ที่ 240*170*7.5 มม. 469 กรัมซึ่งถือว่าต่างกับตอน iPad 4 (241*186*9.4 มม. 650 กรัม) อยู่พอสมควร
พอดีคุณพี่เจ้าของร้าน Happy Phone MBK มี iPad 3 อยู่แถวนั้นพอดีผมก็เลยขออนุญาตหยิบมาเปรียบเทียบกับ iPad Air เสียหน่อย ซึ่งสิ่งที่ทุกท่านจะเห็นได้ชัดๆเลยก็คือขอบหน้าจอของ iPad Air มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมเยอะจนส่วนตัวแล้วผมมองว่า iPad Air จริงๆแล้วก็คือ iPad Mini ขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นมากกว่านะ 555+ ส่วนเรื่องหน้าจอของ iPad Air นั้นก็ยังคงเป็น Retina Display ไซส์เดิมคือขนาด 9.7 นิ้ว 2048 x 1536 IPS LCD เช่นเคยจ้า
มาดูด้านข้างกันบ้างก็ต้องบอกว่า iPad Air บางลงจาก iPad 3 ลงไปไม่ใช่เล่นๆ (จาก 9.4 มม. เหลือ 7.5 มม.) ซึ่งถ้าคุณๆทั้งหลายได้สัมผัสกับ iPad Air ด้วยตัวเองจะเข้าใจครับว่าผมกำลังหมายถึงอะไรอยู่ :)
ลองวาง iPad Air บนมือข้างเดียวนี่มันให้ความรู้สึกว่าเหมือน Air จริงๆแฮะ :P
ลองเปรียบเทียบความบางของ iPad Air กับดินสอดูแบบในโฆษณาของ Apple ครับ เสียดายแถวนั้นไม่มีดินสอปกติเลยใช้ดินสอกด Rotring แทนไปก่อนละกัน อิอิอิ
เอาละมาดูหลังตัวเครื่องกันครับอย่างที่บอกกันว่า iPad Air เครื่องนี้เป็นสี Space Gray ซึ่งส่วนตัวผมค่อนข้างประทับใจมาตั้งแต่ตอนที่ใช้ iPhone 5s เป็นสีเดียวกันนี้เหมือนกันเพราะมันดูแมนๆดี (เห็นโพลก็บอกว่าสีนี้ผู้ชายชอบใช้เยอะ) ซึ่งใน iPad Air นั้นจะมีให้เลือกด้วยกันสองสีคือสี Space Gray ที่ว่านี้และสีขาว White แบบเดิมครับ
ในส่วนของกล้องหลังของ iPad Air ยังคงใช้เซนเซอร์ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.4 ไม่มีแฟลชเหมือนเดิมเช่นเดียวกับใน iPad 4 ครับ ส่วนคุณภาพของการถ่ายภาพใน iPad Air ได้ข่าวว่าดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเดี๋ยวผมขอเวลาไปทดสอบก่อนนะครับ อ้อ! ส่วนกล้องหน้าของ iPad Air ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลสำหรับ FaceTime HD ได้ตามสะดวกเช่นเคยฮะ
ส่วนที่เห็นว่ามีการเพิ่มเข้ามานิดหน่อยใน iPad Air ก็คือไมโครโฟนตัวที่สองบริเวณด้านหลังตัวเครื่องด้านบนตรงข้ามกับกล้องหน้าพอดีเป๊ะซึ่งเขาบอกว่าจะช่วยให้บันทึกเสียงเวลาถ่ายวิดีโอได้ดีขึ้นครับ
ส่วนปุ่ม Home ใน iPad Air น่าเสียครับว่าไม่มีระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID เหมือนใน iPhone 5s แต่อย่างใด
เอาละมาว่ากันถึงตอนหยิบจับ iPad Air มาใช้งานกันจริงๆบ้างซึ่งก็ต้องถือว่าด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่เบาลงทำให้รู้สึกว่าเวลาถือแล้วไม่ค่อยเมื่อยล้าเหมือนรุ่นก่อนๆหน้านี้ ที่สำคัญพอ Apple ลดขอบหน้าจอของ iPad Air ลงมาแบบน่าใจหายก็เลยทำให้ผมสามารถกดใช้คีย์บอร์ดแบบ Full Screen ได้หากใช้งานในแนวตั้ง (Portrait) โดยไม่ต้องเอื้อมนิ้วโป้งเข้าไปกดตัวอักษรบริเวณตรงกลางแบบ iPad รุ่นเก่าๆแต่อย่างใดครับ (แน่นอนว่าอันนี้หมายถึงของผู้ชายไซส์ปกตินะฮะ...หมายถึงมือนะครัฟแหม่ๆๆ)
ความแหล่มเป็ดอีกอย่างหนึ่งใน iPad Air ก็คือถ้าคุณซื้อเครื่องใหม่ตอนนี้ก็จะสามารถดาวน์โหลดแอปฯตระกูล iLife และ iWork ได้ฟรีทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Pages-Keynote-Numbers สำหรับจัดการไฟล์เอกสาร Word-PowerPoint-Excel, iPhoto สำหรับการตัดต่อรูป, iMovie สำหรับตัดต่อตัวอย่างหนังสนุกๆหรือจะเป็น GarageBand สำหรับเล่นดนตรีหรือแต่งเพลงก็ได้ตามสะดวกเพราะทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดฮะ :)
ลองเปิดหน้าเว็บไซต์ TechXcite บน iPad Air ยืนยันว่าเครื่องนี้ไม่ได้ตัดต่อรูปเมืองนอกมาใส่แน่นอน 555+
ทั้งนี้สำหรับราคาล่าสุดของ iPad Air จากร้าน Happy Phone MBK ที่ผมสอบถามมา (อัพเดทวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556) มีรายละเอียดดังนี้ครับ...
ราคา iPad Air WiFi
16 GB black=00,000 บาท white=00,000 บาท 32 GB black=20,700 บาท white=20,700 บาท 64 GB black=00,000 บาท white=00,000 บาท
ราคา iPad Air WiFi+ Cellular (4G LTE)
16 GB black=21,900 บาท white=21,900 บาท 32 GB black=25,100 บาท white=25,100 บาท 64 GB black=00,000 บาท white=00,000 บาท
อย่างไรก็ตามนี่ยังเป็นแค่การแกะกล่อง Preview เท่านั้นนะครับเพราะ Review ฉบับเต็มของ iPad Air กำลังจะตามมาให้ทุกท่านได้เสพย์กันเหมือนเดิมครับ ยังไงฝากทุกท่านที่สนใจรอติดตามกันได้ที่เว็บ TechXcite และรายการ Gadget น่าฟาด กันได้เร็วๆนี้แน่นอนจ้า :D
บทความโดย: ป๋าเอก TechXcite
ขอขอบคุณ: ร้าน Happy Phone MBK ชั้น 4 ฝั่งโตคิว โซน C ล็อคหัวมุม 4AB-19
|