หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

องคชาิตมนุษย์เคยมีกระดูก แล้วมันหายไปไหน

เนื้อหาโดย mata

สวัสดีครับ บทความที่แล้ว เรื่อง "ของลับ" ที่ผู้ชายไม่เคยรู้ และในอดีต "จ้าวโลกเคยมีกระดูก" https://men.postjung.com/710868.html ในช่วงหนึ่งของบทความได้กล่าวถึงว่า ในอดีตองคชาตของมนุษย์เคยมีกระดูกเป็นแกนกลาง (Baculum) ในมนุษย์ก่อนนีอันเดอร์ทัล ซึ่งก็น่าจะย้อนตั้งแต่โฮโม อิเรคตัส ลงไป แต่มนุษย์ยุคปัจจุบันไม่มีกระดูกที่ว่านั้นแล้ว แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว แรคคูน แม้กระทั่งวาฬกลับยังคงรักษากระดูกชิ้นนี้ไว้ เป็นเพราะอะไรนักวิทยาศาสตร์เองก็ยังหาคำตอบไม่ได้

  

กระดูกภายในองคชาตของแรคคูน

 

กระดูกภายในองคชาตของสุนัข

 

กระดูกภายในองคชาตของวอลลัส ซึ่งมีความยาวถึง 56 เซ็นติเมตร 

นักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจว่ กระดูกในองคชาตของมนุษย์โบราณนั้นมีหน้าที่อะไร อาจจะเป็นได้ว่าเพื่อให้เกิดมีเพศสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว เพราะจะช่วยให้มีการสอดใส่ได้ง่ายขึ้นและเร็วกว่า  เหตุผลอาจเพื่อช่วยให้มีการสืบพันธุ์ได้สะดวกขึ้นเพื่อช่วยในการขยายเผ่าพันธุ์ เพราะในอดีตประชากรโลกคงมีไม่มากนัก

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น เช่นกรณีของสิงโต ในฝูงสิงโต จะมีตัวผู้เพียงหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นที่มีสิทธิผสมพันธุ์กับตัวเมีย ดังนั้นถ้าฝูงมีตัวเมียหลายตัว ตัวผู้ก็จะต้องทำการผสมพันธุ์กับตัวเมียชั่วโมงละหลายครั้ง และติดต่อกันถึง 4 วัน ดังนั้นหากพึ่งแต่ความต้องการทางธรรมชาติอย่างเดียวคงไม่ไหว ดังนั้นกระดูกในแกนขององคชาตจึงมีความจำเป็น

ตัวอย่างการผสมพันธุ์ของสิงโต ที่ไม่ต้องมีการเตรียมความพร้อมทางกายภาพเลย

 

และการผสมพันธุ์ของวอลลัส ที่ในธรรมชาติตัวผู้จะผสมพันธุ์กับตัวเมียทั้งฝูง

แต่มนุษย์ในปัจจุบันอาศัยการแข็งตัวโดยพึ่งพาแรงดันเลือดเพื่อส่งไปที่องคชาต และปิดกั้นไว้ขณะมีอารมณ์เพศ  และจะไหลย้อนกลับเมื่อปลดปล่อยอารมณ์แล้ว องคชาตจึงหดตัวลง  ไม่ได้อาศัยกระดูกเพื่อเป็นตัวช่วยอีกต่อไป

จากภาพจะเห็นเส้นทางเข้าของเลือด (สีส้ม) และทำให้ภายในองคชาตขยายตัวจนกดทับหลอดเลือด (สีม่วง) ไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ได้

ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่แกนกลางขององคชาตมีกระดูกเสริมอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนปัจจุบัน  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ กระดูกส่วนนี้จึงไม่หายไปเหมือนมนุษย์  เป็นไปได้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความต่างจากสัตว์อื่นๆ ตรงที่มนุษย์มีอารมณ์และความรู้สึำกแต่สัตว์อื่นไม่มี  

ย้อนกลับไปก่อนยุคนีอันเดอร์ทัล มนุษย์ยุคนั้นคงไม่มีความรู้สึกด้านอารมณ์ ความอ่อนไหวเท่ากับมนุษย์ยุคปัจจุบัน ดังนั้นการมีปฏิสัมพันธ์ทางเพศ จึงมุ่งเน้นที่การมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวเมื่อมีความต้องการ  และธรรมชาติยังต้องการมนุษย์เพื่อสืบสายพันธุ์อีกจำนวนมาก จึงทำให้กระดูกส่วนองคชาติมีความจำเป็นต่อการมีเพศสัมพันธุ์  กระทั่งเราได้ก้าวย่างทางวิวัฒนาการผ่านพ้นจนมาสู่ยุคนีอันเดอร์ทัล การพัฒนาสมองเป็นไปในทางที่ดีขึ้น รู้จักคิดและพัฒนามากขึ้น  การสื่อสารทางอารมณ์ย่อมมีมากขึ้นด้วย การมีปฏิสัมพันธ์ทางเพศจึงมิใช่ความรู้สึกแค่อยากมีเพศสัมพันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่มีอารมณ์ความรู้สึกเข้าเป็นส่วนประกอบ เลือดที่มาหล่อเลี้ยงองคชาตเพื่อให้ขยายและแข็งตัวมีมากและนานพอที่จะทำให้การสืบพันธุ์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี  ดังนั้นวิวัฒนาการจึงส่งผลให้กระดูกแกนกลางองคชาตหดหายไปในที่สุด

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า  การที่มนุษย์มีพัฒนาการทางสมองมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ จึงทำให้การมีเพศสัมพันธุ์ในมนุษย์ ประกอบไปด้วยความรัก ความผูกพัน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนอ๊อกซิโตซิน (ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน) และการได้สัมผัส รวมทั้งองค์ประกอบอื่นๆ ส่วนประกอบเหล่านี้เองที่ผลักดันให้เกิดความรู้สึกทางเพศ โดยส่งผลให้เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงภายในองคชาตมากกว่าปกติ การขยายตัวอย่างมากนี้ส่งผลให้ไปกดหลอดเลือดดำ ทำให้การไหลย้อนกลับของเลือดเป็นไปได้ยาก การแข็งตัวจึงคงอยู่ได้นาน  และนี่เองจึงเป็นเหตุให้วิวัฒนาการค่อยๆ เกิดขึ้น จนกระดูกที่เสริมอยู่ภายในหายไปในที่สุด

การหายไปของกระดูกส่วนอวัยวะเพศชาย ยังคงไม่อาจสรุปได้ว่าเพราะเหตุใดกันแน่ สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์ข้อมูลจากพื้นฐานองค์ความรู้โดยรวมของผู้เขียนเท่านั้น  นักบรรพชีวินอาจให้ความสนใจและศึกษาเรื่องนี้ด้วยความใคร่รู้ หรืออาจจะไม่เลยก็ได้ วิวัฒนาการเป็นเรื่องที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและใช้เวลาหลายล้านปี อนาคตอวัยวะบางส่วนของเราอาจเปลี่ยนไป นิ้วที่ใช้สัมผัสสมารทโฟน อาจยาวกว่านิ้วอื่นก็เป็นได้  แล้วพบกันใหม่ครับ...mata

อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ฮอร์โมนอ๊อกซิโตซิน (ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน) ได้ที่ https://board.postjung.com/624733.html

เขียนโดย  พรชัย  สังเวียนวงศ์  (mata)

ขอบคุณภาพจาก

ขอบคุณคลิปจาก

 

เนื้อหาโดย: mata
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
mata's profile


โพสท์โดย: mata
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
44 VOTES (4/5 จาก 11 คน)
VOTED: Nearvana
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
7 เคล็ดลับง่ายๆ ดูแลน้องชายให้สะอาด มั่นใจ กลิ่นดี จนใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้!เเตเเต มิสแกรนด์พม่า แต่งหน้าไม่สวยเหมือนตอนอยู่ไทย"บาทาแห่งรัก" จากพี่ชาย พลิกชีวิต "นุ้ย เชิญยิ้ม" ให้หลุดพ้นจากยาเสwติดSubway "เถื่อน" บุกไทย! กว่า 105 สาขา อนาคตแฟรนไชส์ซับเวย์จะเป็นอย่างไร?เพราะอะไร? หัวหน้าแก๊งโจรเผย เหตุห้ามบุกปล้นบ้านของเมสซี่อย่างเด็ดขาด!ยอดกฐินวัดดัง 2567 มากกว่าพันล้านท้าวศรีสุดาจันทร์ คือใคร??😌 ชวนเข้ามาหาคำตอบกับวัตถุประหลาดที่สร้างความงุนงงให้กับคนเกือบทุกคนในโลกอินเตอร์เน็ต 😏ตำรวจรวบหนุ่ม อวดปืนลงโซเชียลกองทัพยูเครน ยัน "เราปะทะกับทหารเกาหลีเหนือแล้ว!!"รักล่ม 7 ครั้ง ครูสาวหุ่นแซ่บเผยแผ่นหลัง ชาวเน็ตชี้ลายสักอาจเป็นต้นเหตุเมื่อเจอป้ายห้ามแกะสินค้าที่ทำต่างชาติงง พี่ก็แปลตรงตัวเกิ๊น นี่ต้องเป็นลูกศิษย์ครูเพ็ญศรีเเน่ ๆ !! 😂
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อาการเป็นยังไงอะแม่ ? "อรชร เชิญยิ้ม" เกือบขิตเข้าโรงหมอซ่อมร่างด่วน !!พระสายเปย์รองเจ้าอาวาสวัดดัง ลาสิกขาแล้วกองทัพยูเครน ยัน "เราปะทะกับทหารเกาหลีเหนือแล้ว!!"
ตู-ต้นตะวัน @ ELLE Thailand October 2024Thai Boromphiman Costume 🇹🇭อวยคม มวยโค้ก001งานดีน้ำเดิน
ตั้งกระทู้ใหม่