13 ข้อกฎหมายที่ผู้หญิงต้องรู้
กฎหมายเป็นเรื่องที่หลายคนบอกว่าไกลตัว รู้แล้วไม่ได้ใช้อะไร แต่มีกฏหมายที่ผู้หญิงอย่างเราควรรู้ และบอกต่อได้ก็ยิ่งเริ่ด เพราะพลาดนิดเดียวอาจถูกหลอกได้เลย มาศึกษากฎหมายที่ผู้หญิงต้องรู้เผื่อเอาไปใช้กันดีกว่า
1.เวลาถ่ายเอกสารบัตรประชาชน
ขีดคร่อมสองขีดบนบัตรใช้ปากกาสีน้ำเงิน (จะเหมือนว่าเราไม่ได้ซีรอกซ์มา) ขีดตรงกลางบัตร ไม่ต้องกลัวทับอะไร แล้วเขียนบนระหว่างเส้นที่ขีดคร่อมว่าเพื่อใช้ในการ…เท่านั้น เช่น เพื่อใช้ในการเปิดบัญชีออมทรัพย์กับธนาคารกรุงเทพ สาขาทองหล่อเท่านั้น ควรเติมคำว่า”เท่านั้น”ด้วย และระบุให้ครบจะดีที่สุด ถ้าไม่ทำแบบนี้ อาจมีการนำบัตรประชาชนของเราไปปลอมใช้ในเรื่องที่เราไม่ต้องการได้
2.เวลาจ่ายเงินค่าอพาร์ทเมนท์หรือคอนโด
เราควรเก็บหลักฐานการจ่ายเงิน เช่น ใบเสร็จรับเงิน หลักฐานการโอนไว้ทุกครั้ง แล้วควรรู้ว่าบัญชีธนาคารที่เราโอนเงินไป คือแบงค์อะไร ชื่ออะไร เลขบัญชีอะไร เพราะถ้าเราเกิดจ่ายไปแล้วแน่ๆ แล้วเจ้าของคอนโดบอกว่าเราไม่จ่าย เราสามารถนำหลักฐานทุกอย่างขอหมายศาลไปเช็คขอสเตทเมนท์จากธนาคารนั้นๆได้ว่า มีเงินที่เราโอนไปแล้วเกิดขึ้นจริงๆ
3.เวลาถอนเงินออกจาก ATM แล้วดึงเงินออกมายากๆ
ถ้าเป็นคนทั่วไปพอกดเงินสดออกจากเครื่องเอทีเอ็ม แล้วเราไม่สามารถดึงเงินออกมาจากช่องรับเงินให้ครบได้แบบคล่องตัว มันจะฝืดๆ เวลาดึงอยู่ ให้พยายามดึงเงินออกมาให้หมด ควรจะอยู่บริเวณนั้น อย่าเดินออกไปแล้วทิ้งเงินไว้ ถ้าไม่ออกจริงๆ ให้โทรแจ้งศูนย์ของธนาคารให้ยืนเฝ้าจนเจ้าหน้าที่มา เหตุผลที่เงินติดอยู่ อาจเป็นเพราะมีวัตถุแปลกปลอมติดอยู่ที่ช่องรับเงิน เพราะฉะนั้นเราต้องลองพยายามดึงเงินออกมา ไม่อย่างนั้นอาจมีมิจฉาชีพรอซุ่มคอยมาหยิบเงินของเราไปได้
4.ถ้ามีโทรศัพท์มาแนะนำเราบอกว่า มาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
บอกว่าชื่อนามสกุลนี้ มียศตำรวจประกอบ เขาจะบอกว่า เราร่วมมือกับผู้ต้องหาอีกคน ซึ่งจับตัวได้แล้ว ที่ตู้เอทีเอ็มที่ห้างนี้ แล้วขอข้อมูลเรา ขอตรวจเช็คบัตรเอทีเอ็มเรา คือเขาต้องการให้เราบอกข้อมูลส่วนตัว เหมือนกับว่าพอเราได้โทรศัพท์นี้แล้ว เราจะตกใจว่า เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีอะไรแบบนี้เลย เขาก็จะหลอกถามข้อมูลเราไปเรื่อย เหตุผลที่เข้าต้องการข้อมูลเราคือ เขาเอาไปหลอกโอนเงินเราจากธนาคาร หรือเอาไปใช้จ่ายบัตรเครดิตเขา หรือกรอกข้อมูลซื้อของจากทางอินเตอร์เน็ตได้ เพราะฉะนั้นเวลาเจอโทรศัพท์แบบนี้ ให้ตั้งสติให้ดี สอบถามเขาว่าอะไรเป็นอะไร อย่าไปบอกข้อมูลเขา ถามชื่อนามสกุล และองค์กรที่เขาอยู่ และบอกว่า เราขอโทรไปตรวจสอบเรื่องราวเอง ส่วนใหญ่พวกที่โทรมาหลอก พอเจอไม้นี้ ก็จะวางสายไป
5.มีบิลเรียกเก็บเงินในบัตรเครดิต ที่เราไม่ได้ใช้เลย
- อันดับแรกให้ไปแจ้งความ ลงบันทึกประจำวัน บอกตำรวจว่าขอแจ้งความว่ามีบิลเรียกเก็บเงินจากธนาคารอะไรก็ว่าไป แต่ความจริงแล้วเราไม่ได้เป็นคนใช้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานเวลาที่ธนาคารหรือคนที่หักเงินเราไป มาเรียกร้องเงินจากเรา
- แล้วเก็บสำเนาหลักฐานประจำวันไว้
- และให้ดูใบที่เรียกเก็บ เขาจะระบุว่า ให้เราตรวจสอบค่าใช้จ่ายให้ถูกต้อง ถ้ามีอะไรไม่ใช่ให้โต้แย้งไปใน 7 วัน
วิธีที่ดีคือ ควรรีบทำทันที ไม่ควรทิ้งไปหลายๆวัน ให้โทรไปบอกแล้วทำเอกสารถึงธนาคารไปด้วยว่า ธนาคารนี้ เรามีบิลเรียกเก็บมาอันนี้ วันไหน ราคาเท่าไหร่ก็ระบุบอกไป แล้วบอกว่าเราไม่ได้ใช้ แล้วางไปพร้อมๆ กับตอนโทรบอกธนาคาร ธนาคารเขาก็จะไปตรวจสอบ ระหว่างที่ตรวจสอบเราก็ยังไม่ต้องจ่ายรายการนั้น สุดท้ายถ้าเราไม่ได้จ่าย แล้วธนาคารเขายังยืนยันให้เราจ่ายจริงๆ ก็ต้องรวบรวมหลักฐานเอกสารทั้งหมด แล้วไปว่ากันที่ศาล ซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารเขาจะตรวจสอบได้ค่อนข้างแม่นยำ เพราะฉะนั้นทางที่ดี เวลาเราใช้เครดิตการ์ด ควรเก็บสลิป เอาไว้ด้วยทุกครั้งเพื่อสอบตรวจค่าใช้จ่ายของตัวเอง
6.ถ้าให้เพื่อนยืมเงิน
ก่อนยืมเราเอกสารด้วยมือได้ ทำยังไงก็ได้ให้มีลายเซ็นเขา มีถ้อยคำยืนยันว่าเขายืมเงินเราไป เช่น ข้าพเจ้านางสาวโยพิ ให้นายปอยืมเงินจำนวน XX เมื่อวันที่ XX อะไรก็ได้ ขอให้มีถ้อยคำว่าเขาเอาเงินไป แล้วมีลายเซ็นเขามา ใครจะเขียนก็ได้ ตามกฎหมายแล้วถ้ากู้ยืมเงินเกิน 2000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ หนังสือนั้นจะใช้กระดาษอะไรก็ได้ ถ้าไม่มีกระดาษจริงๆ เป็นกระดาษทิชชู่ยังได้เลย และควรขอหลักฐานส่วนตัวของเขาด้วย เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรประจำตัวข้าราชการ เพราะถ้าเกิดว่าหลังจากนั้นเขามาเปลี่ยนลายเซ็นเราจะได้มีหลักฐานอื่นแนบไว้ด้วย หรือถ้าเรามีโทรศัพท์ที่ถ่ายวีดีโอได้ ระหว่างที่เขากำลังเซ็นก็ถ่ายไว้ด้วยเลยอีกอย่าง แต่จะถ่ายคลิปอย่างเดียวไมได้ เพราะกฎหมายระบุว่า ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเสมอ
7.เวลาเซ็นสัญญาเข้างาน สิ่งสำคัญที่เราต้องสนใจมากเป็นพิเศษคือ…
มีข้อห้ามใดๆ ในสัญญานั้นหรือเปล่า เช่น ข้อห้ามไม่ให้เราไปทำงานอื่นที่เป็นคู่แข่งกิจการนั้น ถ้ามี เราก็ต้องห้ามทำเด็ดขาด งานที่เราทำ ถ้าเป็นแนวต้องใช้ไอเดียสร้างสรรค์ มีระบุไว้ไหมว่า ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร ถ้าเป็นของนายจ้าง เราก็ไม่ควรเอาไปหารายได้ส่วนตัวหลังจากนั้น ทุกสิ่งเราต้องอ่านในข้อบังคับการทำงานที่แนบมากับสัญญาจ้างงานด้วย โดยข้อบังคับการทำงานบริษัทต้องทำตามเงื่อนไขของกฎหมายคุ้มครองแรงงานด้วย เช่น ในหนึ่งปี พนักงานต้องมีวันลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วัน ชั่วโมงในการทำงานตามกฎหมายคือ อาทิตย์ละ 48 ชั่วโมง (แต่ก็มีงานประเภทอื่นที่อาจน้อยกว่านี้ด้วย) ถ้าเกิน 48 ชั่วโมง บริษัทต้องจ่ายโอทีพนักงาน ข้อมูลกฎหมายคุ้มครองแรงงานแบบนี้ อ่านเพิ่มได้จาก www.labour.go.th
8.ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะกู้เงินซื้อบ้านร่วมกัน
ตอนเลิกกันจะมีปัญหามาก เพราะทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันมา ทำหนี้ร่วมกันมา มันต้องช่วยกันแชร์ไปจนหมด หรือถ้าจะขายต้องได้รับความยินยอมจากอีกคนหนึ่ง เรื่องยุ่งยากก็คือ จะทะเลาะกันมาก จะไม่อยากคุยกัน แม้มองหน้ากันเพื่อเซ็นเอกสารก็ไม่อยากเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเยอะมาก ตอนรักกันก็หวานมาก แล้วถ้าบ้านที่กู้มานั้น ทั้งสองคนไม่อยากอยู่แล้ว จะขาย ปรากฏว่าก็ขายยังไม่ได้ ก็ต้องผ่อนร่วมกันไปเรื่อยๆซะอย่างนั้น วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ถือว่ายากมากๆ ทางที่ดี ตอนเราจะกู้บ้านกับใคร ให้เป็นชื่อกู้คนเดียวไปเลย ชื่อเจ้าของบ้านคนเดียวไปเลย ถ้าฝ่ายชายเขารับหนี้ได้ ก็รับคนเดียวไปเลย เราอาจจะขอเป็นคนออกค่าตกแต่งบ้าน หรือพาเขาไปเที่ยวแทนเงินที่ต้องเอามากู้บ้านร่วมกันจะปลอดภัยกว่า
9.ถ้าคุณท้อง
ตามกฎหมายแล้วเขาห้ามผู้หญิงท้องทำงานตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงหกโมงเช้า หรือถ้าจะให้ทำก็ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์เป็นต้นไป
10.ถ้าย้ายงานในบริษัทเดียวกัน นายจ้างคนเดียวกัน ต้องมีโปรเบชั่นอีกหรือเปล่า
จริงๆ แล้วบริษัทไม่สามารถให้โปรเบชั่นพนักงานได้อีกครั้ง ถ้าบริษัททำอย่างนั้นกับเรา เราสามารถแจ้งสำนักงานคุ้มครองแรงงานได้ ระหว่างนั้นเรามีสิทธิไม่ย้ายไปได้ ถ้าบริษัทไม่ยอมจะให้เราออก ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้เรา 4 เดือน ถึง 1 ปี ได้ค่าชดเชย 30 วัน / 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้รับค่าชดเชย 90 วัน / 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า 160 วัน / 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า 240 วัน / 10 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยไม่น้อยว่า 300 วัน
11.เหตุผลอะไรที่บริษัทสามารถให้เราออกจากงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้เราได้บ้าง
ทุจริตต่อหน้าที่ เช่น ถ้าทำหน้าที่การเงิน รับเงินจากลูกค้าแล้วเอาเงินไปใช้ส่วนตัว หรือรับงานจากบริษัทคู่แข่ง
ทำผิดอาญาต่อนายจ้าง เช่น หมิ่นประมาทนายจ้าง ลักทรัพย์นายจ้าง อย่างเรื่องหมิ่นประมาทนายจ้าง ก็คือเราเอานายจ้างไปว่าระบุเลยว่าว่าเป็นใคร เป็นการว่าที่รุนแรงพอสมควร ทำให้นายจ้างเสื่อมเสีย
หยุดงานสามวันติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
12.ถ้าเป็นเคสผ่าตัดทำหน้าอก
ถ้าจะให้ดีตอนเราเซ็นเอกสาร ดูให้ดีว่า มีข้อยกเว้นความผิดอะไรด้วย เพราะอาจะเกิดกรณีทำหน้าอกแล้วติดเชื้อ แล้วต้องเอาซิลิโคนออก เราสามารถไม่ต้องจ่ายเงินค่าผ่าตัดได้ แต่ถ้าตอนเราเซ็นเขามีระบุไว้ว่า ถ้าเกิดข้อผิดพลาดทำให้ไม่ได้รับผลตามที่ตกลงกันไว้ แล้วเราสละสิทธิ์ ไม่เอาค่าเสียหาย เราก็ทำอะไรเขาไมได้
13.ถ้าไปจดทะเบียนรถที่กรมขนส่งเรียบร้อยแล้ว
สมุดสีฟ้าๆ คู่มือจดทะเบียนรถ เราไม่ควรเก็บเอาไว้ในรถข้างหน้า เพราะใครก็ตามที่คิดไม่ซื่อกับเรา เขาสามารถขโมยหยิบไป แล้วเอาไปเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโอนให้เป็นของเขาได้ อันนี้อาจเห็นเคสพวกแฟนคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ มาหลอกกันหลังจากนั้นให้เราอึ้งเหวอไปได้ ควรถ่ายเอกสารเก็บไว้หน้ารถ แล้วเอาตัวจริงไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย