เมื่อนักเรียน ป.โท อังกฤษ รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
“ทำไมต้องเป็นเรา”
มีคำถามหลายอย่างเกิดขึ้นมาในหัวมากมาย ถ้ายาตัวเดิมไม่เวิร์กละ ยาตัวใหม่จะเป็นยังไง จะแพ้กว่าเดิมมั้ย ต้องคีโมนานเท่าไหร่ ถึงกลางปีหน้าเลยใช่ไหม แพลนชีวิตเราก็จะถูกเลื่อนใช่ไหม ร่างกายเราจะไหวไหมตอนนั้น แล้วเราต้องทำสเตมเซลล์ หรือเปล่า เพราะหมอเคยเกริ่นไว้ว่าถ้าดื้อยามาก อาจต้องทำ คำถามวกวนอยู่ในหัวโดยเฉพาะคำถามที่ว่า “ ทำไมต้องเป็นเรา ” เราไปทำอะไรใครไว้ ทำไมถึงต้องประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่เพื่อนรุ่นเดียวกัน ได้เที่ยว ได้กิน ได้ใช้ชีวิตได้มีการมีงานกันรุ่งเรื่อง อย่างเต็มที่มาก แต่เรากลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทริปเที่ยวแบคแพคในยุโรป ที่จ่ายเงินจองตั๋วเครื่องบินที่พัก รถไฟ ต้องเสียเปล่า กระเป๋าพราด้าที่อุตส่าห์ ทำงานเก็บเงินตอน เรียน ป.โท ก็วางอยู่ในตู้ ไม่เคยได้มีโอกาสใช้ เสื้อผ้าสวยๆ ที่มีเป็นสิบๆ ชุดก็ไม่รู้จะใส่อยู่บ้านโชว์ใคร เครื่องสำอางค์ต่างๆรุ่นนั้น รุ่นนี้ที่หิ้วกลับมาก็ไม่รู้จะแต่งหน้าอยู่บ้านทำไม รองเท้าส้นสูงเก๋ๆที่ชอบชื้อเก็บก็แทบไม่ได้แตะ รถที่จองไว้ก็ “อด” สรุปว่ามีทุกอย่าง ที่อยากได้อยากมี แต่แค่ได้ชื่อว่า "มี" แต่ความสุขมัน "ไม่มี" มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นพบความสุขในตัวของเราเอง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปค้นหาจากที่อื่น จนกระทั่งหันมาใช้วิธีธรรมะบำบัด ทำให้ได้ข้อคิด ในการหาความสุขให้ตัวเองได้ว่า
“คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการหาน้ำมาเติมในแก้วแต่ยังมีอีกวิธีนึงที่ง่ายกว่า คือ
ลดขนาดของแก้วลง น้ำที่ดูพร่องก็จะกลายเป็นน้ำเต็มแก้วขึ้นมาทันที”
ความสุข กลับกลายเป็นสิ่งเล็กๆในชิวิตประจำวัน เช่น การตื่นนอนมาแล้ว กินไข่ได้ ไม่แพ้ ไม่อาเจียนไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เหม็นกลิ่นอาหาร พูดง่ายๆคือ “กินง่าย ถ่ายคล่อง” กลับกลายเป็นวันที่มีความสุขมาก การปรับทัศนคติและวิถีชีวิต เพื่อให้ทั้งกายและใจอยู่กับโรคร้าย และให้มันผ่านไปได้ด้วยดี คือสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ เราจึงได้คำตอบจากการถามตัวเองเป็นสิบๆครั้งว่า
“ ทำไมต้องเป็นเรา” เพราะเราคือผู้ถูกเลือกแล้วว่าเป็นคนเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้:).
มหัศจรรย์ชีวิตขาลง
นอกจากการป่วยครั้งนี้ยังทำให้มีโอกาสทบทวนการใช้ชีวิตแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ทำให้ได้ใช้ชีวิต SlowLife ได้ทำอะไรที่ไม่ได้ทำในเวลาที่อยากทำ เช่น การอ่านหนังสือที่ซื้อมาแล้วไม่เคยอ่านจบ การจัดห้องใหม่ จัดบ้านใหม่จัดตู้ใหม่ การได้ทบทวนรื้อฟื้นภาษาจีน การดูซีรี่ส์ที่ชอบ การดูละครหลังข่าว อ่านหนังสือพิมพ์์ยาวๆ ช่วยงานที่บ้านเต็มที่ มีเวลาเอาใจใส่ดูแลน้องในฐานะผู้ปกครองมากขึ้น
ที่สำคัญทำให้เรารู้ว่า ใครที่รักและเป็นห่วงเราจริงๆ ในช่วงเวลานี้ บางคนเข้ามาเพื่อมาขายของ หากินกับความหวัง และความเชื่อของผู้ป่วย บางคนเข้ามาเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไม่ได้เป็นห่วงจริงๆ บางคนเข้ามาทำให้รักและจากไป มันทำให้เราต้องเรียนรู้และเข้มแข็งมากกว่าเดิม ว่าผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตช่วงนี้นอกจากทำให้เรารักและทำให้เราเจ็บแล้ว ยังทำให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราผู้ให้ชีวิต ผู้ช่วยชีวิต ผู้ที่ฉันเรียกว่า “พ่อ” เจ็บไปด้วย ถึงแม้ปากเราจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ร่างกายมันฟ้องว่ามี ทำให้อาการทรุดหนักมากกว่าเดิมและมันไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องแลกสิ่งนี้กับมัน
จะว่าไปไม่มีความรักในช่วงเวลานี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะรู้เลยว่าด้วยสภาพแบบนี้ เราไม่มีสิทธ์ ไม่มีเวลาที่จะไปดูแลใครได้ ที่สำคัญการเอาความสุขไปผูกไว้ที่ใครคนหนึ่งในช่วงเวลานี้ มันอาจทำให้จิตใจเราว้าวุ่นกว่าเดิม ป๊าก็บอกว่ามันก็เป็นอีกบททดสอบหนึ่ง ที่วัดว่าใครรักเราจริงให้ช่วงเวลานี้ ชำระล้างจิตใจ เคลียร์ร่างกาย เคลียร์ความรักที่มันไม่ใช่
นอกจากนี้ การเป็นคนป่วยยังทำให้เราหันมาเห็นความรักจากครอบครัวมากขึ้น
- ป๊าที่ปกติเป็นคนดุไม่ค่อยแสดงออก ไม่เคยกอดลูกสาว ก็มานอนข้างๆ จับหัวก่อนนอนทุกคืน
- ม๊าที่เหนื่อยมาทั้งวัน ต้องตื่นมากลางดึก เพื่อเช๊คว่าเราหายใจได้หรือคอยเช็ดตัวให้ในเวลาที่ไข้ขึ้นสูง
- น้องสาวที่ปกติมีแต่เขม่นกัน ก็ออกจากงาน มานอนเฝ้าที่รพ ทุกครั้ง คอยซื้อนิตยสาร จัดยาให้ทุกเช้า เอนเทอร์เทน ดูแลเวลาเข้าห้องน้ำตลอด
- น้องชายที่อยู่หอก็ขับรถต้องไกลไปกลับ เพื่อซื้อของกินที่อยากกินมาให้
- และที่สำคัญ ได้ใช้เวลาอยู่กับน้องสาวคนเล็กที่กำลังเริ่มหัดพูดวัยเตาะแตะน่ารัก คอยป้อนยา และคอยบอกว่า เจ่เจ้ชู่ฉู้ (เจ่เจ้สู้สู้)
- เพื่อนแท้ที่ไม่ได้พบกันมานาน ก็หมั่นแวะเวียนมา สังสรรค์ที่บ้าน คอยอัพเดชฮั่งเช้ง ( เศรษฐกิจและ ตลาด) ให้ฟัง ทำให้ไม่เหงา
ทุกคนใส่ใจดูแลเราด้วยความจริงใจ พออาการดีขึ้น คนรอบข้างก็ดีใจกับเรา วันไหนที่เราอาการแย่ พวกเค้าก็จะเป็นห่วงมาก มันทำให้เราคิดได้ว่า เราต้องเข้มแข็งและแข็งแรง เพื่อคนที่รักและเป็นห่วงเราจริงๆ
ตอนป่วย มันคือวิฤกติ ที่พลิกเป็นโอกาส และทดสอบจิตใจคนรอบข้างให้เราได้รู้สิ่งใหม่ มีโลกใหม่ ๆ ได้รู้วิธีจัดการพายุอารมณ์ของตัวเอง กลายเป็นคนใจเย็น รักตัวเองมากขึ้น รักงานน้อยลง และรักคนรอบข้างที่ห่วงใยเราให้มากขึ้น ถ้าเราไม่ป่วย เราคงไม่ได้สัมผัสถึงพลังความรักของคนรอบข้างแบบนี้
Lymphoma Fighter
Sirintip.kt@gmail.com
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=lymphomafighter&month=14-09-2013&group=1&gblog=8