หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

“วิธีการรักษาสุดโหด” ในสมัยอดีต

โพสท์โดย moses

สมัยก่อนมีวิธีการรักษาแบบสุดโหดมากมายแบบที่คนในสมัยนี้คงไม่มีใครยอมทำด้วย ในบทความนี้ลองเอาตัวอย่างของวิธีการรักษาแบบแปลกๆ เหล่านั้นมาให้ลองดูกัน

 

 

ยาน้ำกล่อมเด็กผสมยาเสพติด

996001754p1

ที่มาภาพ artefact

ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 มีการขายยาน้ำสำหรับกล่อมเด็กเพื่อเหล่าแม่ๆ ในยุคนั้นที่ชีวิตแต่ละวันมีแต่เรื่องวุ่นวายและความเครียดเกินกว่าจะรับมือลูกๆ ที่เอาแต่ร้องไห้งอแงได้ ยาน้ำที่ขายดีมากอย่างยี่ห้อ Mrs. Winslow’s Soothing Syrup ที่มีสรรพคุณอยู่ว่า เพียงให้เด็กๆ กินยาน้ำนี้ก่อนนอน เด็กก็จะหลับสบายไม่ร้องกวนตลอดคืน แน่ละ ก็เพราะยาน้ำนี้มีส่วนประกอบของมอร์ฟีนบริสุทธิ์ถึง 65 มิลลิกรัม ที่ไม่แค่มีผลกับเด็กเท่านั้น แต่ถึงเป็นผู้ใหญ่ตัวโตๆ กินเข้าไปก็คงหลับเป็นตาย

ในยุคนั้นเรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสารเคมีต่างๆ ดีนัก ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารอันตรายมากมาย อย่างเช่นยาน้ำนี้ก็มีการขายกันมาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1910 เมื่อหนังสือพิมพ์ New York Times ได้ตีพิมพ์บทความที่ชี้ว่า สารที่มีอยู่ในยาน้ำเหล่านี้อาจส่งให้เกิดผลร้ายกับเด็กในระยะยาวได้ และนอกจากมอร์ฟีนแล้ว ยังมีส่วนประกอบของคลอโรฟอร์ม เฮโรอีน ผงฝื่น กัญชา และสารเสพติดอื่นๆ อีกหลายชนิด

soothingsyrup3ส่วนผสมของยาน้ำกล่อมเด็ก

ที่มาภาพ Cracked

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการสั่งห้าม ยาแบบนี้ก็ขายดีมาก แต่ก็เป็นสาเหตุให้เด็กบางคนเวลาที่หายเมากลับมีพฤติกรรมก้าวร้าวหนักกว่าเก่า หรือถ้าอาการหนักๆ บางคนก็เสียชีวิตไปเลย นอกจากยาน้ำแบบนี้แล้ววิธีการกำหราบเด็กเกเรในสมัยก่อนก็มีการใช้เฮโรอีนและโคเคนด้วยเหมือนกัน

cocaine-tooth-ache-drops

ที่มาภาพ jack-the-ripper-tour

 

รักษาโรคด้วยปรอท

mercury_drops_large

ที่มาภาพ the naked scientists

ปรอทน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสสารที่สวยงาม ด้วยความที่มันดูเหมือนเป็นโลหะแต่แท้จริงแล้วเป็นของเหลวทำให้มนุษย์รู้สึกทึ่งและหลงไหลกับปรอทมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว (มีหลักฐานด้วยว่ามนุษย์มีการใช้ปรอทมาตั้งแต่ก่อนคริสตศักราช) จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อก่อนคนเชื่อกันว่า ปรอทเป็นยาวิเศษที่รักษาได้เกือบทุกโรค และหมอในสมัยก่อนก็ใช้ปรอทในการรักษาคนไข้มาเป็นเวลานับร้อยๆ ปี

แต่ปัจจุบันนี้เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าปรอทเป็นสารพิษอันตรายร้ายแรง และถ้ารับเข้าไปก็จะทำให้เกิดอาการพิษจากปรอทเช่น เจ็บหน้าอก หัวใจและปอดทำงานผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก เห็นภาพหลอน และเสียชีวิตได้ น่าแปลกที่สมัยนั้นคนก็ยังคงใช้ปรอทในการรักษาอยู่ดีทั้งๆ ที่ใครได้รับเข้าไปก็พากันเสียชีวิตทั้งนั้น แต่คนก็พากันโทษว่าการเสียชีวิตมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับปรอทเลยสักนิด

mercuryภาพคนไข้ที่พิการจากการรักษาด้วยปรอท

ที่มาภาพ hospitalstay

ช่วงยุคหลังๆ ปรอทถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคซิฟิลิส ซึ่งก็อาจจะนับได้ว่าได้ผลเพราะใครที่รักษาด้วยวิธีนี้ส่วนมากก็จะเสียชีวิตไปแทน แม้แต่ Mozart นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ก็เชื่อกันว่าเสียชีวิตจากพิษปรอทที่ใช้ในการรักษาโรคซิฟิลิสนี่เอง

syphilis medecineยารักษาโรคซิฟิลิสใรสมัยก่อนซึ่งก็คือปรอทนั่นเอง

ที่มาภาพ delilah marvelle

 

Bloodletting

bloodletting1

ที่มาภาพ callyn pierson , biological exceptions , ocd history

การปล่อยเลือด (Bloodletting) เป็นวิธีการรักษาโรคที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีมาย้อนไปตั้งแต่สมัยก่อนคริสตศักราช วิธีการก็คือ ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดด้วยการทำให้เกิดบาดแผล เพราะเชื่อกันว่าถ้าอยากให้มีสุขภาพดีต้องทำการถ่ายเลือดออกมาบ้างเพื่อให้ร่างกายสมดุล ดังนั้นการปล่อยเลือดนี้ใช้เพื่อรักษาโรคแทบทุกชนิด

การรักษาแบบนี้มีมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกาก็รักษาอาการเจ็บคอด้วยวิธีนี้ และเชื่อกันว่าเพราะการรักษาแบบนี้เองที่ทำให้เขาเสียชีวิตลง

 

รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพด้วยการช็อตไฟฟ้า

nutbelt1

ที่มาภาพ Cracked

ในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 19 ช่วงที่ผู้คนกำลังเห่อเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าทั้งหลาย จึงไม่แปลกที่จะมีการนำเอาไฟฟ้ามาใช้ในการรักษาด้วย

เข็มขัดช็อตไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ช่วยรักษาสุดแปลกที่อ้างว่า สามารถช่วยรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพของท่านชายได้ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าไปยัง “น้องชาย” เพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง (เหมือนกับสัตว์ประหลาดแฟรงเกนสไตน์)

electrical-impotence-cure

ที่มาภาพ Cracked

เข็มขัดไฟฟ้านี้ถูกวางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อ สื่อให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้น่าจะขายดีจริงๆ น่าแปลกว่าคนซื้อไม่สงสัยหรืออย่างไรว่าการช็อตน้องชายแบบนี้ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่

nutbelt2jy1

ที่มาภาพ Cracked

 

เจาะสมองผ่านทางเบ้าตา (Lobotomy)

My_lobotomy-howard_during_full

ที่มาภาพ psychology wikia

สมัยช่วงแรกๆ ของศตวรรษที่ 20 วิธีการรักษาด้วยการเจาะสมองผ่านทางเบ้าตาเป็นที่นิยมมากในการรักษาอาการทางจิตต่างๆ ตั้งแต่ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มีอาการหนักๆ ไปจนถึงผู้ป่วยที่แค่มีอาการซึมเศร้า ใครที่เข้าข่ายในกลุ่มนี้แล้วเดินทางไปพบแพทย์ คุณจะได้รับการรักษาแบบสุดสยองแบบไม่ได้ร้องขอเลยทันที

การรักษาแบบนี้ทำโดยแพทย์จะใช้แท่งเหล็กแหลมยาวๆ (ในสมัยแรกๆ ใช้ที่เจาะน้ำแข็ง) สอดเข้าไปทางเบ้าตาด้านบนผ่านไปยังสมอง แล้วบิดเพื่อทำลายเส้นประสาทที่สมองส่วนหน้า ด้วยวิธีการนี้ที่สามารถทำได้รวดเร็วอีกทั้งไม่ต้องผ่าตัดทำให้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

lนายแพทย์ Walter Freeman กำลังรักษาคนไข้ ภาพนี้ถ่ายเมื่อปี ค.ศ.1949

ที่มาภาพ My space

 

ไม่น่าเชื่อว่ารักษาด้วยวิธีนี้เคยได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ.1949  ด้วย แพทย์ที่ทำการรักษาด้วยวิธีนี้อ้างว่า “สามารถทำได้ง่าย และรวดเร็ว พอๆ กับไปหาหมอฟัน” และเมื่อถึงปี ค.ศ.1960 พ่อแม่ทั้งหลายที่มีลูกวัยรุ่นทีมีปัญหาก็ต่างพาลูกตัวเองมารักษาด้วยวิธีนี้

โชคดีที่วิธีการรักษาแบบนี้ใช้กันอยู่ไม่นานนัก แต่กว่าจะรู้ว่าวิธีการนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดก็อาจจะสายไปหน่อยแล้ว เพราะมีคนไข้โดนเหล็กเจาะสมองไปแล้วกว่า 70,000 คน

 

รักษาด้วยวิธีเจาะกะโหลก (Trepanation)

i-d52426bd5600c4685d7f5937bd57a46c-800px-Crane-trepanation-img_0507

ที่มาภาพ scienceblogs

การเจาะกะโหลก เป็นวิธีการรักษาตามชื่อของมันเลย คือ เจาะรูบนกะโหลกศีรษะ วิธีนี้ถือเป็นการผ่าตัดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่ย้อนไปตั้งแต่สมัยยุคหินซึ่งอาจจะทำไปด้วยเรื่องของความเชื่อมากกว่าเรื่องของการรักษา

trepanation_tools

เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการเจาะกะโหลก

ที่มาภาพ 1dunia

เมื่อก่อนนี้การเจาะกะโหลกทำเพื่อรักษาอาการชักและปวดหัวไมเกรน น่าแปลกว่าการเจาะรูบนหัวแบบนี้ (ส่วนมากไม่ใช้ยาชาด้วย) จะทำให้หายปวดหัวหรือแก้อาการของสมองได้อย่างไร

220px-Trepanation_illustration_France_1800s

ที่มาภาพ answers

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ การเจาะกะโหลกแบบนี้ยังคงมีมาถึงในยุคปัจจุบัน เช่นตัวอย่างของ หมอ Bart Hughes (ผู้ซึ่งไม่ใช่หมอจริงๆ เพราะเรียนไม่ทันจบก็ถูกไล่ออกเสียก่อน) ที่เชื่อว่า การเจาะกะโหลกแบบนี้จะช่วยให้สมองของเราทำงานได้ดีขึ้น คุณหมอคนนี้เชื่อในทฤษฎีของตัวเองมากเสียจนทำการเจาะกะโหลกตัวเองให้ดูเป็นตัวอย่างเสียเลย

bart_trepanBart Hughes ผู้เจาะกะโหลกตัวเอง

ที่มาภาพ 1dunia

 

 

ที่มา Cracked , The List Cafe , Wikipedia : Bart Huges , Wikipedia : Bloodletting
ที่มาภาพประกอบ digital collections

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 


โพสท์โดย: moses
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
56 VOTES (4/5 จาก 14 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ปริศนาศพหญิง 2 คนในสุสานกวนอู พวกเธอเป็นใคร? มีคนบอกว่าหนึ่งในนั้นคือเตียวเสี้ยน?ไบเดน ฮึ่ม " ทุกคนต้องอยู่ใต้กฏหมายเดียวกัน "ครูห่วงอนาคตเด็กไทย..ทนแดดแค่นี้ไม่ได้ ต่อไปจะทำอะไรกิน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ครูห่วงอนาคตเด็กไทย..ทนแดดแค่นี้ไม่ได้ ต่อไปจะทำอะไรกินดราม่าแมว ‘หนูหรั่ง’ เหมาะสมไหม? เอาแมวมาเดินในสนามบินสุวรรณภูมิmorale: ขวัญกำลังใจ ขวัญของประชาชน
ตั้งกระทู้ใหม่