วิจัยชี้ให้เห็นว่า น้ำใจทำให้คนมีความสุขมากขึ้น
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการแสดงน้ำใจทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ศาสตราจารย์ซอนยา ลิวบอเมอร์สกี แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ขอให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยลองแสดงน้ำใจแบบไม่เลือกผู้รับเป็นเวลา 10 สัปดาห์
ปรากฏว่าผู้เข้าร่วมวิจัยมีความสุขมากขึ้นทุกคน
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นคือ
คนที่แสดงน้ำใจหลากหลายวิธี เช่น เปิดประตูให้คนที่ไม่รู้จัก และล้างจานให้คนในแฟลตเดียวกัน
มีระดับความสุขสูงกว่าคนที่แสดงน้ำใจด้วยวิธีการเพียงอย่างเดียว
แม้จะผ่านพ้นช่วงวิจัยไปแล้ว แต่ความสุขดังกล่าวยังไม่จางหาย
คุณจะแสดงน้ำใจกับคนที่รู้จักหรือคนแปลกหน้า ผลของความสุขไม่ต่างกัน
แต่ผลลัพธ์อาจต่างกัน คือ การแสดงน้ำใจเล็กน้อยโดยไม่แสดงตัวให้ผู้รับได้ล่วงรู้
อาจทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีมาก
แต่การแสดงน้ำใจเรื่องใหญ่ๆ ให้คนรู้จักอาจมีผลทางสังคม เช่น คุณอาจมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น
หรือได้รับคำขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
ดังนั้น การจ่ายค่ากาแฟให้คนแปลกหน้าอาจทำให้คุณได้รับคำขอบคุณแบบพึมพำ
ขณะที่การไปจ่ายตลาดให้เพื่อนบ้านวัยชราอาจทำให้สัมพันธภาพของคุณกับเพื่อนบ้านดีขึ้น
ความมีน้ำใจมีผลดีต่อเราในแง่อื่นๆ ด้วย
ศาสตราจารย์สตีเฟน โพสต์ ผู้ประพันธ์หนังสือชื่อ ทำไมเรื่องดีๆ จึงเกิดขึ้นกับคนดีๆ
ทำการวิจัยแล้วยืนยันว่าการแสดงน้ำใจมีผลดีต่อสุขภาพของเราด้วย
การศึกษาสมาชิกโบสถ์จำนวน 2,016 คน พบว่า คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำนั้น
มีสุขภาพจิตดีกว่าและมีอัตราป่วยเพราะความเครียดน้อยกว่า
การศึกษาชิ้นอื่นๆ พบว่า คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำมีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคเรื้อรังน้อยกว่า
และมีระบบภูมิคุ้มกันดีกว่า เห็นได้ชัดว่าน้ำใจกับความสุขและสุขภาพมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดแน่นอน
ศาสตราจารย์โพสต์ กล่าวว่า การแสดงน้ำใจช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
ซึ่งอารมณ์นี้เองมีผลอย่างมากต่อสุขภาพของเรา
ถ้าสัญชาตญาณของ การสู้หรือหนี ในตัวเราทำงานหนักเกินไป
จะมีผลต่อระบบหลอดเลือดหัวใจและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
คนที่แสดงความรักแบบไม่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ มักจะไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ เกลียด หรือกลัว
นั่นคืออารมณ์ที่เปี่ยมสุข