หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ฆาตกรต่อเนื่อง

เนื้อหาโดย Capt Baron Nessta

 

ฆาตกรต่อเนื่อง ( serial killer) หมายถึง บุคคลที่ก่อคดีฆาตกรรมขึ้น โดยมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป หรือก่อเหตุมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ ฆาตกรต่อเนื่องส่วนมาก จะเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมที่ตัดขาดจากสังคมภายนอก (Antisocial Personality Disorder) และไม่ได้เป็นบ้า ดูจากภายนอกแล้วจะเหมือนกับคนปกติทั่วไป บางครั้งจะมีเสน่ห์ด้วยซ้ำ

 

 จิตวิทยาและแรงจูงใจ

ฆาตกรต่อเนื่องหลายคนจะมีพื้นฐานความหลังที่ขมขื่น โดยมากมักจะเป็นผู้ที่ถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ถูกทารุณกรรม หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อครั้งยังเด็ก ซึ่งบ่อยครั้งที่คดีที่ฆาตกรต่อเนื่องก่อมีความเกี่ยวพัน หรือคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ตนประสบมาในอดีต นักจิตวิทยาได้ให้ข้อสันนิษฐาน ถึงที่มาของแรงจูงใจในการก่อคดีของฆาตกรต่อเนื่องไว้หลายสมมติฐาน ส่วนมากมักเกี่ยวกับการทารุณกรรม และการล่วงละเมิดทางเพศ บางครั้งก็เป็นความอับอายที่ถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก หรือมีความกดดันจากความอดอยาก จากการมีฐานะทางสังคมต้อยต่ำเมื่อโตขึ้น และคดีที่ฆาตกรต่อเนื่องก่อขึ้นนี้ มักจะเป็นการระบายความแค้นส่วนตัว ทำให้ตนเองรู้สึกมีอำนาจในช่วงเวลาที่ลงมือฆ่า ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องราวคดีที่ฆาตกรต่อเนื่องนั้นๆ ก่อขึ้นก็จะเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว ซึ่งแรงจูงใจของฆาตกรต่อเนื่อง จะแตกต่างกับพวกมือสังหารที่ก่อคดีฆาตกรรมเพื่อผลประโยชน์

นักจิตวิทยาได้ตั้งอีกสมมติฐานที่ว่า ฆาตกรต่อเนื่องเป็นพวกที่ไม่มีพัฒนาการทางอารมณ์ ทำให้กลายเป็นพวกแปลกแยกและถูกปฏิเสธจากสังคมภายนอก เป็นผลทำให้บุคคลเหล่านี้ สามารถก่อคดีได้โดยที่ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย และไม่ใช่กรณีของฆาตกรรมอำพราง บางกรณีการถูกเยาะเย้ย หรือกดขี่ทางสังคมก็เป็นอีกเหตุจูงใจหนึ่ง

ฆาตกรต่อเนื่องมักมีความสนใจหรือพยายามที่จะสนใจ ในเรื่องที่เหยื่อชื่นชอบเป็นพิเศษ เช่น การเรียน การแข่งขัน เรื่องเพศ ฯลฯ เมื่อก่อคดีพวกฆาตกรต่อเนื่อง มักจะมีความรู้สึกที่คล้ายกับ กำลังทำการค้นคว้าวิจัยบางสิ่งบางอย่างของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่มีความรู้สึกผิด กับสิ่งที่ตนนำมาทดลองเหมือนกับการนำกบมาชำแหละเพื่อศึกษาโครงสร้าง ฆาตกรต่อเนื่องจะพยายามเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของตน ก็เมื่อได้ก่อคดีในแต่ละครั้ง ด้วยการสร้างความเจ็บปวดให้เหยื่อ และประเมินสภาพของศพเมื่อเหยื่อตายไปแล้ว

ฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดัง

  • แจ็กเดอะริปเปอร์
  • ฆาตกรล่องหน (Phantom Killer)
  • เอ็ด กีน

 

 

เอ็ดเวิร์ด ทีโอดอร์ กีน

 เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1906 ในครอบครัวเกษตรกร ที่เมืองลาครอสส์ เคาน์ตี้ รัฐวิสคอนซิน (ต่อมาครอบครัวได้ย้ายตามพ่อมาอยู่ที่ หมู่บ้านเพลนฟิลด์ ในเมืองแมดิสันน มีพ่อชื่อ จอร์จ ซึ่งติดสุราอย่างหนักและเมื่อเมาก็จะอาละวาดไล่ทุบตีคนในครอบครัว แม่ชื่อ ออกัสตา เป็นคนที่เคร่งศาสนามากเสียจนเข้มงวดไปทุกเรื่องและมักจะดุด่าด้วยเสียงดังหากมีใครทำอะไรผิดแม้เพียงเล็กน้อย เอ็ดมีพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อ เฮนรี่ ด้วยความเป็นคนขี้อายและเป็นคนเก็บตัว เอ็ดจึงเติบโตอย่างโดดเดี่ยว โดยมีออกัสตาเป็นทั้งเพื่อนและครูอันเนื่องจากเขาออกโรงเรียนกลางคัน แล้วมาเลี้ยงดูเขาอย่างผู้หญิงเพราะเธอหวังว่าเอ็ดซึ่งเป็นลูกคนที่สองจะเป็นผู้หญิง และมักพาเขาไปดูการชำแหละซากสัตว์อยู่บ่อย ๆ โดยที่เธอมักสอนเอ็ดอยู่บ่อย ๆ ว่า ผู้หญิงทุกคนบาปหนา (ยกเว้นแม่) และเจ้าไม่สามารถมีเพื่อนได้นอกจากแม่ และการมีเพศสัมพันธ์เป็นบาปหนา ซึ่งเอ็ดเชื่อในคำสอนนี้ และมองแม่เป็นเสมือนพระเจ้าตลอดมา

จนกระทั่ง จอร์จ พ่อของเอ็ดตายเมื่ออายุยี่สิบกว่า ๆ กิจการทั้งหมดทั้งสามคนจึงเป็นผู้รับผิดชอบ ถึงแม้เอ็ดและพี่ชายจะเข้าสู่วัยหนุ่ม แต่เขาก็ยังเป็นโสดผิดจากวัยรุ่นชายทั่วไป เนื่องจากเขายังจดจำคำสั่งสอนของแม่ได้ดี

เมื่อเอ็ดอายุ 40 กิจการฟาร์มเขาเขาอยู่ช่วงวิกฤต ผลผลิตภายในฟาร์มไม่ดีทำให้ขาดทุนมากมาย ทำให้พี่ชายของเอ็ดต้องทำงานอื่นเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว และช่วงนี้พี่ชายเขามักปากกล้าโต้เถียงแม่เป็นประจำ แต่เอ็ดก็ยังเข้าข้างแม่ แม้เรื่องที่เถียงกันแม่เป็นฝ่ายผิดก็ตาม

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1944 เฮนรี่พี่ชายของเอ็ดก็เสียชีวิตจากการถูกไฟคลอกในขณะที่เกิดเพลิงไหม้ในแปลงข้าวโพด มีหลายคนเห็นพี่ชายของเอ็ดอยู่กับเอ็ดในแปลงข้าวโพดก่อนเกิดเหตุไม่นานนัก

ปีถัดมา ออกัสตาล้มป่วยเป็นอัมพาตและเสียชีวิตไปอีกคนหลังจากอุบัติเหตุ

ปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องฟาร์มและปัญหาครอบครัวล้วนมีส่วนให้เอ็ดเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งเขาเข้าสู่วัย 51 ปี เอ็ด กีน เป็นชายผู้ซึ่งสุภาพอ่อนโยนและสันโดษ แต่สำหรับเพื่อนบ้านแล้ว เขาดูเป็นคนน่ารังเกียจ เป็นคนผิดปกติที่มักจะแสดงกิริยากระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิง จึงไม่ค่อยมีใครสุงสิงหรือคบหาเท่าใดนัก

เมื่อปราศจากแม่ เขาก็เป็นอิสระ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องการให้แม่กลับคืนมา เขาเริ่มสนใจร่างกายของเพศหญิงที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เป็นความสนใจที่แปลกประหลาด สับสน แยกไม่ออกว่ามันเป็นความต้องการการทางเพศหรือความต้องการจะมีเรือนร่างของผู้หญิงกันแน่ เขาหาหนังสือที่เกี่ยวกับเรือนร่างของผู้หญิงมาอ่าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์, สารานุกรม หรือแม้กระทั่งการทดลองของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่งข้อมูลเหล่านี้กระตุ้นความปรารถนาในจิตใจให้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นเขาปิดตายห้องต่าง ๆ ในบ้านตัวเอง ยกเว้น ห้องครัวและห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างเท่านั้น

เหยื่อฆาตกรรม

ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว เอ็ด กีน สังหารเหยื่อไปแล้วกี่ราย แต่จากสืบสวนอย่างเป็นทางการของตำรวจระบุว่า เขาสังหารเหยื่อไปเพียง 2 รายเท่านั้น รายแรกเป็นผู้หญิง ชื่อ มารี โฮแกน วัย 55 ปี เมื่อปี ค.ศ. 1954 เธอเป็นหญิงหม้ายเจ้าของร้านอาหารและบาร์เล็ก ๆ ชื่อ โฮแกน ทราเวิร์น ที่หมู่บ้านไพน์ โกรฟ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธออยู่กับเอ็ดตามลำพัง จนกระทั่งมีลูกค้าคนหนึ่งเข้าไปที่นั้นก็ไม่พบคนขาย แต่เห็นเลือกองใหญ่บนพื้นที่ประตูด้านหลังร้าน กับกระสุนปืนพกขนาด .32 ปลอกหนึ่ง และรอยเลือดปรากฏเป็นระยะ ๆ ไปจนถึงที่จอดรถและก็หายไป ซึ่งเข้าใจว่ามารีคงถูกนำไปขึ้นรถจากที่ตรงนั้น ตำรวจไม่สามารถหาตัวเธอได้แม้จะผ่านหลายปีแล้ว จนกระทั่ง เอลโม เจ้าของโรงเลื่อยให้การกับตำรวจภายหลังว่า เขาเคยคุยกับเอ็ดเรื่องการหายตัวของมารี เอ็ดตอบเขาว่าเธออยู่ที่ฟาร์มของเขานั้นแหละ ไม่ได้หายไปไหน ตอนนั้นเอลโมคิดว่าเอ็ดพูดเล่น จึงไม่ใส่ใจและถามอะไรเพิ่มเติม

เหยื่อรายต่อมา คือ เบอร์นิซ วอร์เดน หญิงหม้ายวัย 60 ปี เป็นเจ้าของร้านขายอุปกรณ์ใน เมืองเพลนฟิลด์ วันเกิดเหตุเป็นคืนวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 เอ็ดเข้ามาร้านในตอนที่ไม่มีคนอยู่เช่นเคย เขาใช้กระสุนขนาด .22 ที่นำมาเอง ใส่เข้าไปในปืนไรเฟิลและยิงเธอโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วนำร่างของเธอขึ้นรถบรรทุกสำหรับส่งของแล้วขับกลับบ้านเขา

ในเวลาต่อมา แฟรงค์ ลูกชายของเบอร์นิซ กลับจากการล่าสัตว์ เขาก็พบว่าประตูร้านของแม่เขาล็อกเอาไว้ แต่มีไฟเปิดอยู่ด้านใน ซึ่งผิดปกติ เพราะเป็นเวลาที่ร้านควรปิดได้แล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบเครื่องคิดเงินหายไป กับมีหยดเลือดกระจายอยู่บนพื้น แฟรงค์รีบแจ้งตำรวจทันที จากการสอบปากคำของคนในที่พื้นใกล้เคียง มีผู้พบเห็นรถส่งของของร้านแล่นผ่านไป เมื่อเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง

จนกระทั่งแฟรงค์และตำรวจพบหลักฐานชิ้นสำคัญ คือใบเสร็จรับเงินที่ระบุได้ว่าร้านของเขาขายของให้ใครบ้าง สิ่งที่พบ คือ ชายที่เป็นลูกค้าประจำที่ถามแฟรงค์ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาอยู่หรือเปล่า ซึ่งชายคนนั้นก็คือ เอ็ด กีน

ต่อมา ทั้งแฟรงก์และตำรวจได้บุกเข้าไปยังบ้านของเอ็ด กีน ซึ่งมีสภาพซ่อมซ่อและน่ากลัว ซึ่งเด็ก ๆ ในละแวกนั้นเรียกขานกันว่าเป็น "บ้านผีสิง" และเมื่อเปิดเข้าไปพวกเขาก็ต้องผงะ เมื่อเจอกับกลิ่นเหม็นที่ตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่ว และได้พบกับซากศพและชิ้นส่วนมนุษย์จำนวนมาก มีทั้งที่แขวนห้อยอยู่และตัดเป็นชิ้น ๆ ทำคล้ายเหมือนเครื่องประดับ

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้จับกุมเอ็ด กีน แล้ว จากปากคำที่เขาสารภาพ ว่ากันว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง เขาจะสวมชุดผู้หญิงออกมาเต้นระบำท่ามกลางแสงจันทร์ โดยมีอวัยวะเพศหญิงยัดใส่ไว้ในกางเกงในของเขา

แต่เอ็ดปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้กินเนื้อมนุษย์

แต่จากการสอบถามเพื่อนบ้าน หลายคนบอกว่าเคยได้รับเนื้อเป็นของขวัญ ซึ่งเอ็ดบอกว่าเป็นเนื้อกวางที่ล่ามาได้ทั้ง ๆ ที่เอ็ดเองบอกว่าไม่เคยเข้าป่าล่าสัตว์เลย

จากการชันสูตรพลิกศพและพิสูจน์อวัยวะทั้งหมดภายในบ้าน พบว่าจำนวนศพที่อยู่ในบ้านมีทั้งหมดถึง 50 ศพด้วยกัน และเป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ไม่เข้ากับร่างใดอีกมากมาย

แม้จะพบศพเป็นจำนวนมากมายในบ้านของเขา แต่ตำรวจตั้งข้อหาฆ่าคนตายแค่สองศพแก่ เอ็ด กีน คือ มารี โฮแกน และ เบอร์นิซ วอร์เดน ซึ่งทั้งสองมีหน้าตาคล้าย ออกัสตา แม่ของเขา และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังสงสัยว่าเขาอาจเป็นคนสังหารพี่ชายของตัวเองและคนงานอีกสองคนที่ทำงานที่ฟาร์ม และเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวสองคน แต่ก็ไม่พบหลักฐานมัดตัวเขาได้ เอ็ด กีน ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลจิตเวท ชื่อ เซ็นทรัล สเตท หลังจากแพทย์วินิจฉัยแล้ว พบว่าเขาเป็นคนผิดปกติทางจิตอย่างรุนแรง และต่อมาถูกย้ายไปรักษาตัวที่สถาบันวิจัยและดูแลคนป่วยทางจิตเมนโดด้าทั้งที่เขาก่อคดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมและน่ากลัวอย่างที่ไม่มีใครทำมาก่อน แต่คำให้การของคนที่ดูแลเขากลับบอกว่า เอ็ดเป็นคนเรียบร้อย สุภาพ ไม่ก้าวร้าวกับคนอื่น แต่เขามักพูดถึงความสุขที่เขาได้ฆ่าเหยื่อบ่อย ๆ ซึ่งในระหว่างที่เขาถูกจองจำอยู่นั้น บ้านของเขาก็เกิดไฟไหม้

ต่อมาศาลได้ตัดสินคดีของเขา ซึ่งผลคือ เอ็ด ผิดจริง แต่ทำไปเพราะอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรงเพราะบ้า ดังนั้นเขาจึงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เมนโดด้าจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิตของเขาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1984 ด้วยโรคหัวใจ ด้วยวัย 77 ปี

 

 

ฆาตกรล่องหน ( Phantom Killer)  ซึ่งเชื่อว่าเขาได้ฆ่าคนจำนวนหนึ่งใน เขตมหานครเท็กซาร์คานา สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1946 สำหรับสมญา "ฆาตกรใต้เงาจันทร์" นั้นมีที่มาจากการที่ฆาตกรรายนี้มักปฏิบัติการฆ่าในคืนวันเพ็ญ

การก่อการ

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ขณะที่ จิมมี ฮอลลิส) ชายวัย24ปี และแมรี ชีน ลาเรย์ เพื่อนสาววัย19ปีของ จิมมี กำลังกระจู๋กระจี๋กันสองต่อสองบนรถที่จอดบนถนนนอกเขต มหานครเท็กซาร์คานา ปรากฏชายนายหนึ่งพร้อมปืนพกจู่โจมเข้าหาและบังคับให้ทั้งสองลงจากรถ ก่อนเอาปืนหวดศีรษะจิมมีจนสลบ และลวนลามแมรี ก่อนหลบหนีไปเมื่อเห็นแสงไฟจากรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ คู่รักทั้งสองให้ปากคำว่า ชายที่เข้ามาทำร้ายนั้นมีความสูงของร่างกายประมาณ6ฟุตและสวมหมวกไอ้โม่ง

ต่อมาในยามเย็นของวันที่ 23 มีนาคม ปีเดียวกันนั้น ริชาร์ด กริฟฟิน  ชายวัย29ปี และพอลลี แอน มัวร์  เพื่อนสาววัย17ปีของริชาร์ด ขับรถยนต์ออกไปกระหนุงกระหนิงกันตามแถบชนบท และเช้าวันพรุ่งก็ถูกพบเป็นศพพร้อมกันในรถยนต์ซึ่งหยุดอยู่บนถนนชาน เมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี (Bowie County) รัฐเทกซัส ส่วนหนึ่งของเขตมหานครเท็กซาร์คานา คู่รักทั้งสองถูกปืนลูกโม่ขนาด.22 ยิงเข้าด้านหลังศีรษะ มีการพบรอยเลือดซ่านกระเซ็นบนพื้นห่างจากที่รถยนต์จอดไป20ฟุต เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าพวกเขาทั้งสองถูกฆ่านอกรถและถูกจับยัดกลับเข้าไปใหม่

ครั้นค่ำวันที่ 13 เมษายน ปีนั้น พอล มาร์ทิน ชายวัย17ปี และเบตที โจ บุกเคอร์ เพื่อนสาววัย17ปีของ พอล ขับรถยนต์ไปเที่ยวกันที่ สวนสาธารณะสปริงเลก (Spring Lake Park) เมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี รัฐเทกซัส พอเช้าวันพรุ่ง ทั้ง 2 ถูกพบเป็นศพในสวนนั้น โดยร่างของ พอล อยู่ห่างจากรถยนต์ไปราว1.5ไมล์ ส่วนร่างของ เบตที กองอยู่ริมขอนไม้ห่างจากรถยนต์ไปราว2ไมล์ คู่รักทั้งสองถูกปืนยืงจนพรุน เจ้าหน้าที่ได้กระสุนปืนลูกโม่ขนาด.32 เป็นจำนวนมากจากศพ หนังสือพิมพ์ Texarkana Gazette พาดหัวข่าวใหญ่โตขนานนามฆาตกรว่า "ภูตล่องหน"  the Phantom

ในช่วงนี้ ราษฎรชาวเขต มหานครเท็กซาร์คานา ต่างประหวั่นพรั่นพรึงกันถ้วนหน้า บ้านเรือนหลายบ้านจัดหาปืนผาหน้าไม้มาประจำไว้ บ้างก็ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แข็งแกร่งขึ้น และบ้างก็ไม่กล้าออกไปนอกเคหสถานในยามวิกาลอีก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจเพิ่มขึ้นในถนนเปลี่ยวและย่านที่คู่รักมักไปกระจู๋กระจี๋กัน กับทั้งยังเตรียมรับมือหากฆาตกรจะเปลี่ยนแผนการฆาตกรรมด้วย

ลุวันที่ 4 พฤษภาคม ปีนั้น ปรากฏชายผู้หนึ่งบุกเข้าไปในบ้านนาหลังหนึ่งห่างจากมิลเลอร์เคาน์ตี (Miller County) รัฐอาร์คันซอ ในเขต มหานครเท็กซาร์คานา ไปเกือบ12ไมล์ เขาหยุดอยู่ภายนอกบ้านและใช้ปืนยิงผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นเข้าไปต้องชายวัย36ปีนาม เวอร์จิล สตากส์  ถึงแก่ความตายทันที ฝ่าย เคที สตากส์  ภรรยาวัย35ปีของ เวอร์จิล อยู่บนห้องนอนได้ยินเสียงกระจกแตกก็ลงมาดู ถูกชายไม่ประสงค์ดีรายนั้นยิงซ้ำสองนัดต้องใบหน้าและปากของเคที นางพยายามควบคุมสติอารมณ์วิ่งหนีออกจากบ้านไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ชายผู้นั้นจึงเข้าไปตามตัวถึงในบ้านแต่ไม่พบเนื่องจากเคทีได้ออกไปแล้ว ทิ้งแต่รอยเท้าเปื้อนโคลนไว้บนพื้น ครั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายก็จากไปแล้ว จากการทดสอบทางยุทโธปกรณ์พบว่ากระสุนที่ได้จากศพของเวอร์จิลหาใช่กระสุนปืนลูกโม่ขนาดจุดสามสองไม่ แต่เป็นกระสุนปืนพกกึ่งอัตโนมัติขนาด.22 อย่างไรก็ดี เชื่อกันว่าฆาตกรในคราวนี้เป็นคนเดียวกับคราวก่อน ๆ

ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ชายผู้หนึ่งถูกพบเป็นศพบนรางรถไฟทางตอนเหนือของ เมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี รัฐเทกซัส ซึ่งสื่อมวลชนบางสำนักว่าเป็นศพของ เอิร์ล แม็กสแป็ดเดน (Earl McSpadden) โดยรายงานว่า เอิร์ล คือฆาตกรที่ได้รับสมญาว่า "ภูตล่องหน" และเขาฆ่าตัวตายในวันนั้น อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรายงานในวันถัดมาว่า เอิร์ลถูกอาวุธมีคมแทงจนตาย ก่อนศพของเขาจะถูกลากมาวางบนรางรถไฟ ทำให้เชื่อกันอีกว่าเอิร์ลก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายอีกรายหนึ่งในกรณีฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งนี้

ผู้ต้องสงสัยรายใหญ่

ชายวัย29ปีนาม ยูเอล สวินนีย์ ( Youell Swinney) ซึ่งเป็นขโมยรถ และมีประวัติเคยทำของปลอม โจรกรรม และทำร้ายร่างกาย ถูกจับกุมตัวในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1946 ที่เขตมหานครเท็กซาร์คานา พร้อมด้วยภรรยาของเขา ภรรยาของ ยูเอล แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสามีของตนคือฆาตกรที่ได้รับสมญาว่า "ภูตล่องหน" และเธอก็ได้ร่วมก่อการพร้อมกับสามีทุกครั้งด้วย แต่ปากคำที่นางให้การเกี่ยวกับฆาตกรรมนั้นมีข้อพิรุธเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเติมแต่งไปเรื่อย ๆ จนที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจลงความเห็นว่านางเป็นพยานที่รับฟังมิได้ ฝ่ายยูแอลนั้นถูกสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี รัฐเทกซัส แล้วยังถูกสอบอีกที่ นครลิตเทิลรอก (Little Rock) รัฐอาร์คันซอ และในปีถัดมา เขาถูกศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานขโมยรถยนต์และกระทำความผิดหลายกรรมหลายวาระ

กระทั่ง ค.ศ. 1970 ยูแอล ขออุทธรณ์คดีของเขา โดยอ้างว่าเขาควรได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเสีย เพราะในการพิจารณาคดีของเขาเมื่อ ค.ศ. 1947 นั้นไม่มีการจัดหาทนายความมาให้เขา ซึ่งศาลพิพากษาให้ปล่อยตัวเขาใน ค.ศ. 1974 เมื่อพิสูจน์พบว่าเขาไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา และยูแอลถึงแก่ชีวิตใน ค.ศ. 1994

นับว่ายูแอล สวินนีย์ เป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่รายเดียวสำหรับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยฆาตกรล่องหน แต่คดีดังกล่าวก็ยังมิได้ข้อสรุปมาจนบัดนี้

 

Jack the Ripper เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ออกทำฆาตกรรมในย่าน "ไวท์ชาเปล" ซึ่งเป็นถิ่นยากจนใกล้ นครลอนดอน ในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888 ชื่อสมญาได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย

ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ได้กลายเป็นขนมผสมน้ำยา ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและ นิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดมีคำว่า "นักริปเพอร์วิทยา" มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่างๆ ว่าคือตัวริปเพอร์ หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรฮึกเหิมได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา ในบางครั้งตำรวจมาถึงที่เหตุเกิดเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงที่ออกหาเงินเป็นครั้งคราวด้วยการเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียงก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็น ศัลยแพทย์ หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้

 

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตายจาก

หญิงถูกฆาตกรรมหลายรายยังที่เป็นที่ถกเถียงกันทั้งชื่อและจำนวน แต่รายที่ชี้ได้ชัดว่ากระทำโดยแจ็กเดอะริปเพอร์มีไม่มาก

 เหยื่อที่เป็นที่ยอมรับได้แน่นอน 5 ราย

เหยื่อที่เป็นที่ยอมรับทางกฎหมายว่าเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์แน่นอนมี 5 ราย มีชื่อเรียกกันว่า "5 เหยื่อบัญญัติ" (Canonical five) ที่ได้จากผลสรุปของการสอบสวนจากหลายฝ่ายจากการที่ศพทั้งหมดมีลักษณะการถูกกระทำเกือบเหมือนกัน เหตุที่ทำให้เป็นที่เชื่อถือได้ในขณะนั้น มาจากความเห็นของหัวหน้าตำรวจชุดสอบสวนกลางคือ เซอร์เมลวิลล์ แมกนอเทน ที่ให้ไว้เมื่อ ค.ศ. 1894 ซึ่งเพิ่งเปิดเผยเมื่อ ค.ศ. 1959 ความจริงแมกนอเทนเข้าร่วมการสอบสวนหลังเกิดเหตุแล้ว 1 ปี โดยไม่มีนักสืบอื่นร่วม ทำให้ "นักริปเปอร์วิทยา" ต้องแยกเอาศพ 2 รายออกจากรายการเดิมที่มี 7 รายเหลือเพียง 5 ราย

การฆ่าเหยื่อบัญญัติทั้ง 5 ทำตอนกลางคืนในที่มืดในวันหยุดหรือใกล้วันสุดสัปดาห์ มีลักษณะช่วงเวลาใกล้เคียงแต่ไม่ตรงกัน เกิดในที่ที่เปลี่ยวแต่สาธารณชนเข้าถึงได้ด้วยการนัดหมาย หรือเป็นที่ที่มีคนไปในช่วงสุดสัปดาห์ มีเพียงรายเดียวที่เกิดในเขตลอนดอนและเกิดบนถนน นอกจากนี้ ลักษณะการกระทำของฆาตกรเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามความโด่งดังของการประโคมข่าว

ความยากในการบ่งชี้ว่าลักษณะอย่างใดที่เป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์อยู่ตรงช่วงเวลาที่มีการฆาตกรรมสตรีซึ่งมากอยู่แล้วในยุคนั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ถ้าเป็นแจ็กเดอะริปเพอร์ คอเหยื่อจะถูกเชือดลึกมาก จะต้องมีการหั่นหรือสับช่วงท้องและอวัยวะเพศ มีการเชือดเอาอวัยวะภายในออกและมีการเฉือนใบหน้าด้วยมีดเป็นริ้วๆ..

เหยื่อที่อาจใช่ฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์

ยังมีบัญชีแนบท้ายรายชื่อ "5 เหยื่อบัญญัติ" ที่อาจเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์อีก 13 รายโดยถือเอาความคล้ายคลึงในการเข้าจู่โจมทำร้ายหรือฆ่า แต่เหยื่อเหล่านี้มีหลักฐานการกระทำไม่ครบถ้วนและละเอียดชัดเจน ส่วนแจ็กเดอะริปเปอร์ตัวจริงก็ คือ นายโรเบิร์ด มานน์

การสืบสวน

กรณีแจ็กเดอะริปเพอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์

วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น

 สื่อ

ในโลกนี้มีฆาตกรปริศนาที่ฆ่าคนโหดกว่าแจ๊คมากมายหลายรายนัก แต่ทำไมแจ๊คถึงดัง และคนอื่นถึงรู้จักแต่แจ๊ค ทั้งๆ ที่แจ๊คไม่ใช้ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของโลก และไม่ใช้ฆาตกรปริศนาคนแรกของโลกอีก นั้นเป็นเพราะสื่อและสิ่งที่ทำให้สื่อสนใจนั่นก็คือช่วงที่แจ๊คอาละวาดเริ่มจาก 31 สิงหาคม 1888 ช่วงนั้นสก็อตแลนด์สามารถคลี่คลายคดีหมอคลิปเปนฆ่าหั่นศพเมีย องค์กรนี้จึงมีชื่อเสียงทันที พวกเขามักออกมาให้ข่าวทำนองว่าพวกตนมีทีมงานที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยี เวลาสืบสวนแต่ละทีต้องละเอียดยิบ ต่อให้ฆาตกรจะฆ่าใครโดยไม่ทิ้งหลักฐาน ก็ลากฆาตกรลงโทษจงได้ ดังนั้นพอเกิดคดีแจ๊คขึ้นขึ้นมา สื่อที่หมั่นไส้องค์กรตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่แล้วเริ่มยิ้มถึงความล้มเหลว ขององค์กรนี้ และก็เริ่มเดือด เมื่อตำรวจอังกฤษไร้น้ำยาปล่อยฆาตกรฆ่าคนไปหลายราย สื่อเริ่มประโคมข่าว และเริ่มกระจายข่าวไปทั่วโลก และชื่อของแจ๊คเริ่มโด่งดังต่อมาเมื่อมีจดหมายส่งมาถึงผู้สื่อข่าว

แต่ต้องยอมรับว่าฆาตกรรมแจ็กเดอะริปเพอร์มีผลต่อชีวิตแบบใหม่ของชาวอังกฤษ แม้ฆาตกรรมต่อเนื่องแจ็กเดอะริปเพอร์จะไม่ใช่กรณีแรก แต่ก็ได้ทำให้สื่อทั่วโลกแตกตื่นแพร่กระจายข่าวนี้อย่างครึกโครม การมียอดจำหน่ายสูงขึ้นมาก ประกอบกับการออกกฎหมายใหม่ลดค่าอากรแสตมป์ทำให้ราคาหนังสือพิมพ์ต่อฉบับลดลงมากจากการพิมพ์จำนวนมหาศาล ทำให้เกือบทุกคนซื้ออ่านได้ เรื่องราวลึกลับน่ากลัวที่ยังจับใครไม่ได้จึงเป็นข่าวที่เพิ่มยอดขายได้สูง หลายคนถึงกับกล่าวว่าชื่อ "แจ็กเดอะริปเพอร์" เป็นชื่อที่หนังสือพิมพ์เป็นผู้ตั้งขึ้นเอง

การแพร่หลายของข่าวที่ประโคมแบบใหม่ทำให้เกิดกรณีฆาตกรรมต่อเนื่องที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในระยะหลังมีรูปแบบทำนองเดียวกันเช่น "ฆาตกรรัดคอบอสตัน" (the Boston Strangler) "ขุนขวานนิวออร์ลีน" (Axeman of New Orleans) นักซุ่มยิงเบลท์เวย์" (Beltway Sniper) รวมทั้งฆาตกรรัดคอเชิงเขา" (Hillside Strangler) เป็นต้น

ต้นเหตุสำคัญที่อาจเป็นไปได้ในกรณี "แจ็กเดอะริปเพอร์" ที่ได้กล่าวถึง คือการปล่อยละเลยไม่เหลียวแลย่านคนยากจนมากในสมัยนั้นจากชนชั้นสูงผู้ดูแลบ้านเมือง ดังย่านที่เป็นที่เกิดเหตุจึงมีผู้เรียกร้องความสนใจให้บ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นบ้าง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เป็นผู้หนึ่งที่เขียนจดหมายเชิงประชดถึงกรณีดังกล่าวผ่านหนังสือพิมพ์

ผู้ต้องสงสัย

เจ้านักปาดคอมนุษย์คนนี้ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้สองสามอย่างด้วยกัน เพราะในแต่ละครั้งที่มันได้ฆ่าใครตายไปนั้นมันมักจะพาตัวหายลับเข้าไปอยู่ในบริเวณ ไวซ์ชาเปลซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของคนจน ถ้าหากว่าคนร้ายรายนี้เป็นคนจน ถ้่าอย่างนั้นทำไมเขาจึงได้มีความรู้วิชาการแพทย์ และได้ใช้ความรู้นั้นมาฆ่าคนอย่างโหดร้าย ทฤษฏฎีที่มีทางจะเป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวกับตัวการคือ ข้อสันนิษฐานของดาเนียล ฟาร์สัน นักเขียนแลกนักข่าวของวิทยุกระจายเสียงและต่อมาเขาได้กลายเป็นหัวหน้าของกองสอบสวนกลางเมื่อปี1903 ฟาร์สันได้เพ่งเล็งผู้ต้องสงสัยไว้สามคนด้วยกัน คนแรก แพทย์ชั้นเซียนชื่อ ไมเคิล ออสตร๊อก คนที่สอง ผู้นิสัยในการชอบฆ่าคนชาวโปลิชเลือดยิว ชื่อว่า กอสมันสกี้ ซึ่งมีนิสัยเกลียดผู้หญิงอย่างรุนแรง และอีกคนหนึ่งก็คือทนายความผู้มีนิสัยเลวทรามชื่อมา มองตาคู ยอห์น ดรุตต์ หรือบ้างก็ว่า มีเจ้าชายของราชวังได้ไปเที่ยวโสเภณีแต่ในภายหลังพระองค์ถูกแบล๊คเมล์โดยโสเภณีหญิงผู้นั้น พระองค์จึงส่งคนในวังไปลอบฆ่านาง ซึ่งนั่นคือคดีแรก แต่คดีต่อๆไปเป็นแค่พฤติกรรมเลียนแบบ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริงในเรื่องคดีดีที่สุด นั่นก็คือคนที่เป็นแจ๊กเดอะริปเปอร์จริงๆเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคือใคร แต่ว่าจะเป็นใครก็ตามความลับอันน่าหวาดหวั่นของเขาก็ต้องถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินพร้อมกับร่างของเขาไปแล้ว ซึ่งไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอีกเลย [1]

ลำดับเหตุการณ์

· 31 สิงหาคม ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก

· 8 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง

· 25 กันยายน ค.ศ.1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์”

· 30 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน

· 1 ตุลาคม ค.ศ.1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม

· 16 ตุลาคม ค.ศ.1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวท์แซพเพล

· 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย

· 31 ธันวาคม ค.ศ.1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

· ค.ศ.1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ.1919

· ค.ศ.1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กระทำความผิดไม่เจอ

· ค.ศ.1894 เซอร์เมลวิลล์ แมคนักห์เต็นเขียนบันทึกร่ายยาวแบบลับๆ ว่า เขาสงสัยมองตากู จอห์น ดรูอิทท์

· ค.ศ.1901 มีการสันนิษฐานว่าจดหมายและพัสดุที่ส่งมาเป็นของปลอมทำขึ้นโดยฝีมือของนักข่าว

· ค.ศ.2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้าแจ็กเดอะริปเพอร์

แม้คดีของแจ๊คจะจบลงมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1892 นานแล้ว แต่ใช่ว่าหลายๆ คนจะหยุดการสอบสวน เพราะยังมีผู้สนใจซึ่งเรียกตนเองว่า “นักริปเปอร์วิทยา” และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมรวมไปถึง สก็อตแลนด์ยาร์ดที่ล้มเหลวยังคงสืบสวนคดีไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่จากการสืบสวนของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด พบว่านายวิลเลียม สมิธ ตำรวจสายตรวจเมื่อ 120 ปีก่อน เป็นพยานคนหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่หลังพบเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแจ๊ค

ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1888 สมิธเห็นชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้หญิงคนที่พบก็กลายเป็นศพที่ 3 ของแจ๊ค โดยชายที่สมิธเห็นนั้น สูงราวๆ 5 ฟุต 7 นิ้ว ไว้หนวดเรียวเล็ก ผิวคล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบันที่วิเคราะห์โดยทางเจ้าหน้าที่ของสก็อตแลนด์ยาร์ด ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับตัวแจ๊ค ก็มีคนออกมาเสนอความเห็นอีกเช่นกัน โดยนายคิม รอสโม ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิประเทศบอกว่าเขาใช้เทคนิคอย่างหนึ่ง นำสถานที่เกิดเหตุแต่ละครั้งบวกกับรายงานที่มีพยานพบเห็นมาประเมินว่า ฆาตกรน่าจะอยู่ที่ไหน ผลออกมาคือ ฆาตกรรายนี้น่าจะพักอาศัยในอาณาเขตไม่เกิน 1 ตารางไมล์จากสถานที่เกิดเหตุ และยังวิเคราะห์ลึงลงไปอีกว่า น่าจะอาศัยอยู่ที่แถบถนนฟลาวเวอร์ หรือถนนดีน ซึ่งห่างจุดเกิดเหตุแต่ละครั้งราวๆ ไม่เกิน 100 หลา และยังเป็นพื้นที่ที่ตำรวจเมื่อ 120 ปีก่อน เคยสำรวจ รวมถึงสอบถามเรื่องราวเพื่อตามล่าผู้ต้องสงสัยจากผู้คนในละแวกนี้มาแล้ว แม้จะไม่พบข้อมูลที่สามารถชี้ชัดใดๆ ได้ก็ตาม

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม สก็อตแลนด์ยาร์ดได้เปิดเผยหลักฐานชิ้นสำคัญ นั้นคือบันทึกส่วนตัวของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สวอนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด ผู้รับผิดชอบคดีนี้นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งทายาทของสวอนสันตัดสินใจมอบบันทึกนี้ให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของสก็อตแลนด์ยาร์ด โดยบันทึกนี้เขียนด้วยมือของสวอนสันเองหลักจากเกษียณอายุราชการแล้ว ที่ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับคดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์​ และเขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านเกี่ยวกับข้อมูลคดี ที่น่าสนใจคือ สวอรสันได้ระบุชื่อของบุคคลที่เขาคาดว่าจะเป็น “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” ไว้ในบันทึกเล่มดังกล่าวด้วย

บันทึกนี้ระบุว่าฆาตกรคนนั้นชื่อ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยในเขตไวท์แซฟเพลย่านที่เกิดเหตุนั้นเอง สำหรับนาย อารอน โคสมินสกี้ นี้มีการชี้ตัวอย่างลับๆ ของพยานคนหนึ่งที่อ้างว่าเห็นตัวฆาตกร แต่พยานคนนี้ไม่ยอมร่วมมือกับราชการเท่าไหร่เพราะไม่อยากชื่อว่าเป็นคนทรยศ เพื่อนร่วมเชื้อชาติเดียวกันอย่างไรก็ตาม ในการร่วมมือแบบไม่เปิดเผยนั้น ตำรวจพาพยานไปชี้ตัว โดยนายโคสมินสกี้ไปรวมกับคนอื่นๆ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง หลักจากนั้นตำรวจก็จับตามองโคสมินสกี้ตลอด แต่ตอนนั้นนายนั้นดันเกิดอาการโรคจิตกำเริบ จนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลรักษาอาการ งานนี้หลานของสวอนสัน คือเนวิลล์ สวอนสัน บอกว่าคุณปู่มั่นใจเลยว่านายโคสมินสกี้เป็นฆาตกรแน่นอน แต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถจับกุมเขาได้

ความเห็นของสวอนสันนั้นก็สอดคล้องกับเจ้านายเขาเหมือนกัน คือเซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สัน เขาก็เขียนบันทึกเหมือนกันว่า สงสัยนายโคสมินสกี้เหมือนกัน อันที่จริงชื่อของโคสมินสกี้ไม่ใช้เพิ่งจะโผล่ออกมา แต่เป็นชื่อต้นๆ ที่เคยถูกอ้างมาก่อนโดยเจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับสองเพราะเขาสนใจนายมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ ว่าน่าจะเป็นแจ๊คมากกว่าแต่โคสมินสกี้จะเป็นแจ๊ค หรือไม่นั้นไม่มีใครตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวลาโลกไปนานแล้วจะเชิญมาสอบปากคำคงต้องขึ้นคนทรงเจ้าแหละ แถมแม้มีการเปิดเผยเรื่องมากขึ้น แต่ปริศนาก็คือปริศนา เพราะมีคนบางคนนำเสนอว่าบางที่แจ๊คนั้นไม่ได้มีคนเดียว แต่มันมีสองคนขึ้นไปดำเนินการต่างหาก

นายเทรเวอร์ แมริออต อดีตนายตำรวจอังกฤษทุ่มเทเวลากว่า 10 ปี ในการศึกษาสำนวนคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และประกาศว่า “ไม่มีทางเลยที่ฆาตกรผู้นี้จะทำงานได้โดยลำพังเพียงคนเดียว”เขาว่าจำนวนเหยื่อของแจ๊คนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่รายกันแน่ บางคนบอกว่ามีกว่า 10 ราย แต่เท่าที่นักริปเปอร์วิทยาทั้งหลายลงความเห็นว่าแท้จริงมีเหยื่อแค่ 5 รายเท่านั้นโดยนับจากรายแรกตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม ค.ศ.1888

แต่สิ่งที่แมริออตสะดุดใจมากคือ เหยื่อรายที่ 3 และ 4 เพราะเกิดเหตุในคืนเดียวแต่สถานที่กันซึ่งมีระยะห่างกันเพียง 12 นาที ทำให้มีการคาดว่าน่าจะมีการแยกกันลงมือเพราะในเวลาที่น้อยขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครว่องไวพอขนาดทำงานได้ 2 ศพ ในเวลาไล่เลี่ยงขนาดนี้ บางทีโคสมินสกี้อาจร่วมมือกับใครคนหนึ่งหรืออาจเป็นองค์กร สมาคม หรือใครสักคนที่มีอิทธิยิ่งใหญ่ในอังกฤษ เขาอาจได้ค่าจ้างร่วมมือกันฆ่าโสเภณีทั้ง 5 โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างซึ่งเราก็ไม่ทราบได้

จนกระทั่งเวลาผ่านไป 120 ปี ปลายปี ค.ศ. 2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดก็เปิดเผยโฉมหน้าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในที่สุด

 

เนื้อหาโดย: Capt Baron Nessta
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Capt Baron Nessta's profile


โพสท์โดย: Capt Baron Nessta
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
24 VOTES (4/5 จาก 6 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทำรากฟันเทียม แต่หน้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดสำนักงานพุทธฯ สั่งตรวจสอบ พ่อแม่ "น้องไนซ์" เชื่อมจิตสาวสอบติดครู ร้องไห้หนัก เหตุบนลิเกไว้ 4 วัด เข่าทรุดหลังรู้ราคาลิเกช้าหน่อยนะครับ!! เมื่อเจ้าของร้านไล่พนักงานออกยกเซต 8 คน เพราะขโมยเงิน งานนี้ต้องกลับมาทำทุกอย่างเองทั้งหมด 😌หนุ่มเครียด! สอบติดอัยการผู้ช่วย ควรเลิกกับแฟนที่เป็นพนักงานบริษัทดีไหม?สาวร้องสายไหมต้องรอด คลีนิกทำ "จิ๊มิไหม้" แล้วไม่รับผิดชอบหนุ่มเร่ขาย "ลาบูบู้" กลางสี่แยก..ทำเอาหลายคนแห่ถามพิกัดสงครามโลกครั้งที่สอง บทเรียนเลือดเนื้อจากไฟสงครามชาวเน็ตฮือฮา! ขายที่ดินพร้อมบ้าน 200 ล้าน ติดวิวสภาสัปปายะสภาสถาน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หนุ่มถาม? ควรคิดค่าแรงในการขับรถพาแฟนเที่ยว ดีไหม!เผยคำพูดปารีณา พูดกับเสรีพิศุทธ์ ในงานศwพ่อ"ใบเตย สุธีวัน" กลับสู่บ้านเดิม เซ็นสัญญาเข้าบ้าน "อาร์สยาม"ชาวเน็ตฮือฮา! ขายที่ดินพร้อมบ้าน 200 ล้าน ติดวิวสภาสัปปายะสภาสถาน
ตั้งกระทู้ใหม่