จะไปใช้ชีวิตอยู่เยอรมันควรรู้เรื่องอะไรบ้าง?
สำหรับคนไทยที่อยู่เยอรมนีมานานปี หากถามว่า อะไรคือความเป็น“เยอรมัน” คำตอบก็มักจะเป็น การตรงต่อเวลา Pünktlichkeit เวลานัดหมายอะไร หากเกรงว่าจะช้านิดหน่อยเป็นต้องโทรฯมาบอกให้รู้ก่อนซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี คนรอจะได้รู้ แต่เรื่องนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่าช่างก็เป็นแบบนี้แหละ typisch Handwerker หรือไม่ก็ ก็เขาเป็นช่างไง er ist doch ein Handwerker นั่นคือ ช่างทั้งหลายแหล่ในเยอรมนีมักจะไม่ค่อยตรงต่อเวลา คือรับปากว่าจะมาซ่อม หรือมาจัดการอะไรให้ มักจะมาช้า เช่น นัดว่าจะมา 11 โมงเช้า มาถึงเอา 17 น. หรือไม่มาเอาเฉย ๆ หรือไม่ก็ส่งงานไม่ทันตามที่กำหนด เป็นต้น เอ คุณสมบัตินี้จะเป็นเฉพาะช่างเยอรมันชาติเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้เนาะ
ความเป็น“เยอรมัน”ต่อมาก็น่าจะเป็น “ขี้เหนียว” โดยเฉพาะในความคิดของสาวไทยที่สามีเยอรมันไม่ค่อยยอมส่งเงินให้ครอบครัวที่เมืองไทย หรือ บ่อยครั้งจะพบว่าคนเยอรมันเวลาจะซื้อหาอะไรที ต้องตรวจสอบคุณภาพดูแล้วดูอีกไตรต่รองสะสมเงินเพื่อซื้อของเป็นอย่างๆ ไป ไม่ซื้อง่ายๆ และหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน จะตีความว่าขี้ตืดก็ได้ แต่หากมองในอีกด้านหนึ่งน่าจะใช้คำว่า ตระหนี่ ถี่ถ้วน จะถูกกว่าไหม นั่นคือ ค่อนข้างจะรอบคอบละเอียดลออในการใช้เงินไม่สุรุ่ยสุร่าย หรือจะเรียกว่าใช้เงินเป็น รู้จักค่าของเงินก็น่าจะได้ต่อเนื่องจากเรื่องนี้ การที่คนเยอรมันต้องคิดทบทวนค่อนข้างนานเป็นไปได้ไหมว่า เพราะต้องการความแน่ใจในคุณภาพ หรือแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อน (sicher ist sicher)
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคำของน้องนักศึกษาไทยคนหนึ่งที่บอกว่า คนเยอรมันขี้ขลาด ไม่ยอมเสี่ยงที่จะทำอะไรเลย โดยดูว่า จะประกันมากมายก่ายกอง โน้นก็เป็นประกันนี้ก็เป็นประกันกลัวไปหมด และอะไรที่นอกกรอบ ที่ไม่มั่นใจว่าทำได้ หรือจะได้ผล โดยเฉพาะที่ให้หลีกเลี่ยงไม่ทำตามกฎเกณฑ์แล้วละก็ ยากมากที่คนเยอรมันจะยอมทำ นั่นคือคิดซิกแซ็กหยอกย้อนอย่างพี่ไทยไม่ค่อยเป็น มักจะตรง ๆ ทื่อๆ ตามเนื้อผ้าเท่านั้น เข้าข่าย เถรตรง นั่นแหละ
ก็เลยได้ความเป็น ”เยอรมัน” ตามมาอีกหลายประการนั่นคือ การเคารพในกฎเกณฑ์ ทุกอย่างมีกฎมีเกณฑ์ มีระเบียบ รักษาวินัย (เอ !! ประเทศ
ไหนหว่าไม่ค่อยจะมี?) และก็ด้วยเหตุนี้ใช่ไหม เลยทำให้คนเยอรมันมี ความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง(ว่าถูก) หรือ rechthaberisch เพราะรู้แน่ชัดว่าหากทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ก็จะได้ผลตามที่กำหนดให้ ซึ่งในเรื่องนี้เราคนไทยคงมีประสบการณ์ที่ดีๆ ในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ราชการเยอรมันทั้งหลาย ที่มีระเบียบมากมาย ต้องมีใบโน้นใบนี้ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่หากมีทุกอย่างให้ครบและทำตามขั้นตอนก็จะได้จริงๆ ไม่ต้องมีใต้โต๊ะอะไรเลย
และนี่ก็อาจเป็น ความเป็น”เยอรมัน” อีกอย่าง นั่นคือ ความซื่อตรงหรือ เที่ยงตรง korrekt และก็การพูดอะไรตรง ๆ direkt ไม่มีอ้อมไปอ้อมมาคนไทยมาใหม่ๆ อาจตกใจว่า เอ๋...เขาว่าเราหรือเปล่าหว่า หามิได้เขาเพียงแต่พูดอย่างที่เขาคิดเท่านั้นแหละท่าน แต่หาได้คิดอะไรหลังไมค์ต่อไปอีกยาวนานไม่ พูดแล้วจบเลย แต่ว่าหากยังไม่ชัดเจนในเรื่องใดๆ ละก้อเป็นต้องดีดกัด (Diskussion) กันจนเห็นดำเห็นแดงแจ้งชัด ให้เห็นเป็นอย่างเดียวกันก่อนจึงจะสรุปและลงมือทำ บางทีพี่ไทยเราใจร้อน บ่นปวดหัวว่าไม่รู้มันจะคุยกันถึงไหนไม่ทำอะไรกันซะที ซึ่งที่จริงแล้วการที่ถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่เอามาติดค้างเป็นอารมณ์น่าจะได้ผลงานที่ดีกว่า ก็เข้าล็อก sicher ist sicher อีกแหละ
จากความซื่อตรง ก็มาเป็นความซื่อสัตย์ treu ซึ่งเป็นภาพตายตัว (stereotype หรือ Klischee) ของหนุ่มเยอรมันที่สำนักงานจัดหาคู่มักจะใช้กันเมื่อสักสอง-สามทศวรรษที่ผ่านมา และก็เป็นความรู้สึกของสาวๆไทยด้วย โดยเธอมักจะเปรียบเทียบกับหนุ่มไทยในอดีตของเธอ (ข้อสัมภาษณ์ในงานศึกษาวิจัยเรื่องการย้ายถิ่นของหญิงไทยมาเยอรมนี) ที่ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นปัจจัยทำให้เธอต้องมาใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมือง
ความสะอาด และความเป็นระเบียบ ก็เป็นข้อหนึ่งที่อาจชี้ชัดถึงความเป็น”เยอรมัน” ลองสังเกตดูซิเวลาคุณนั่งรถไปประเทศเพื่อนบ้าน พอพ้นชายแดนเยอรมนีเข้าไปฝรั่งเศส หรือเบลเยี่ยมจะรู้สึกได้ทันทีถึงเรื่องเหล่านี้บ้านช่องที่ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการใส่ใจ (ungepflegt) ความสะอาดสะอ้านที่ดูจะอยู่ห่างไกล คนไทยบางคน(เช่นตัวฉันเอง) อาจจะรู้สึกอึดอัด พอพ้นชายแดนเพื่อนบ้านกลับมาเยอรมนีอะไรๆ ก็จะโปร่งโล่งดูสะอาดตาเกี่ยวกับความสะอาดและความเป็นระเบียบนี้มีเรื่องเล่าสนุกๆ ว่าคนเยอรมันมักจะล้างถังขยะใหญ่หน้าบ้านด้วยน้ำร้อนและน้ำยาล้างจ้านเพื่อให้สะอาดและมีกลิ่นสุภาพ วันหนึ่งน้องคนไทยมาเยี่ยมเดินผ่านถังขยะที่บ้านหลานสาวตัวน้อยบอกว่าเหม็น คุณแม่หลานสาวก็เลยว่า พี่ต้องล้างถังด้วยน้ำร้อนและใส่น้ำยาล้างด้วย นี่แสดงว่าน้องคนนี้ได้รับเชื้อ”เยอรมัน”ไปเต็มๆ
… และจารีตก็คือ จารีตที่อาจเปลี่ยนแปลง ปรับได้ไปตามเวลาที่ผ่านไป ดังนั้น ความเป็น”เยอรมัน” ที่เห็นในวันนี้ก็อาจปรับเปลี่ยนได้ในภายหน้า และที่สาธยายมาอาจดูดี…
ความเป็น”เยอรมัน” ที่คนนอก(คนไทยที่อยู่ในเยอรมนีก็แล้วกัน)มองเห็น รู้สึกสัมผัสได้ นอกจากนี้ ความเป็น”เยอรมัน” อาจมองได้จาก ขนบธรรมเนียม จารีต วิถีปฏิบัติ ที่คนเยอรมันได้รับการอบรมบมเพาะกันมา (Sozialisation) เช่น สีดำ เป็นสีเสื้อผ้าที่ใช้เป็นทางการหากใครเคยดูรูปเก่าๆ ของครอบครัวเยอรมันจะเห็นว่า ในงานแต่งงานงานพิธีมงคลต่างๆ แขกเหรื่อแต่งสีดำเป็นแถว หรือในปัจจุบัน ก็ใส่ชุดสูทสีดำ(กรณีผู้หญิง) ก็ดูสุภาพดี เพียงแต่คนไทยอาจจะตะขิดตะขวงใจเล็กๆ เท่านั้น เพราะสีดำ หรือม่วง เราคงไม่ใส่ไปงานแต่งงาน
จารีตที่ถือปฏิบัติที่ถือจะผิดแผกไม่คุ้นเคยสำหรับคนไทยอีกอย่างก็คือ การพูดโทรศัพท์ ในเยอรมนีเวลารับโทรศัพท์คนรับต้องบอกชื่อ(นามสกุล)ของตนเอง เพื่อคนที่โทรฯเข้ามาจะได้รู้ว่าโทรฯมาถูกบ้านไหม และคนที่โทรฯเข้ามาก็ต้องบอกชื่อด้วย คนรับจะได้รู้ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร อันนี้จะต่างกันมากกับสังคมไทย คนไทยที่มาอยู่เยอรมนีจึงมักไม่คุ้น เวลาโทรฯหาใครก็มักจะขอพูดกับคนที่ต้องการพูดเลย เมื่อถูกถามว่าชื่ออะไรก็มักจะไม่ตอบ
การเคารพความเป็นส่วนตัว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญในเยอรมนี การเยี่ยมเยียนจึงมักต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า วันอาทิตย์หรือหลังสองทุ่มไม่แล้ว เพื่อไม่ให้รบกวนกัน เขาก็จะหลีกเลี่ยงที่จะโทรฯไปหาใครต่อใคร โดยเฉพาะที่ไม่คุ้นเคยมากนัก
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของจารีตที่ดูเหมือนจะถือปฏิบัติกันทั้งประเทศ แต่นั่นแหละในแต่ละท้องถิ่นของเยอรมนีก็อาจจะมีจารีตอื่น ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เหมือนกับอาหารเยอรมัน ที่คงจะไม่ใช่แค่ กะหล่ำปลีดองกับขาหมู (Sauerkraut und Schweinhaxe) ที่คนไทยในเมืองไทยอาจจะรู้จักเท่านั้น แต่แต่ละท้องถิ่นก็จะมีอาหารของถิ่นตัวเอง เช่น ในไรน์ลันด์ก็จะมี Reibekuchen คือมันฝรั่งไสเป็นเส้นเล็ก ๆ ผสมหัวหอมและแป้งเล็กน้อยทอดในน้ำมันร้อน ๆ กินกับมัสตาด (Senf) แต่ทางถิ่นอื่น มักจะกินกับแอปเปิลกวน (Apfelmus) และในท้องถิ่นนี้จะกินของทอดๆ มันๆ กับมัสตาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฟรช์นฟราย(Prommes) ที่ในถิ่นอื่นจะเป็น แดงขาว คือ กินกับมายอเนส และแคชช็อพ
และจารีตก็คือ จารีตที่อาจเปลี่ยนแปลง ปรับได้ไปตามเวลาที่ผ่านไป ดังนั้น ความเป็น”เยอรมัน” ที่เห็นในวันนี้ก็อาจปรับเปลี่ยนได้ในภายหน้าไม่เห็นได้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้าน และมีข้อยกเว้นเสมอนี่แหละคือคำอธิบาย
ความเป็น”เยอรมัน”ส่วนหนึ่งที่สัมผัสเกิดจากการอบรมบ่มเพาะเชื่อมต่อจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง หลายอย่างอาจมีที่มาที่ไปจากประวัติศาสตร์ของชาติเยอรมัน บทเรียนของการเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลกถึงสองครั้ง การชำระเงินชดเชยแก่ประเทศที่เยอรมนีไปย่ำยี แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สองจะจบลงแล้วก็ตาม สภาพหลังสงครามที่อดอยากแล้นแค้น คนเยอรมันจึงถูกสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน ใช้เงินอย่างรอบคอบ จนมองดูเหมือน”ขี้ตืด”
และสงครามโลกครั้งที่สอง อีกเช่นกันที่ทำให้เยอรมนีมีรัฐธรรมนูญที่อ้าแขนรับผู้ลี้ภัย และหากมองกันอย่างใจกว้างแล้ว คนต่างชาติที่พำนักอยู่ในเยอรมนี ได้สิทธิหลายๆ อย่างมากมาย มากกว่าประเทศอื่น ง่ายๆ ก็ประเทศเพื่อนบ้าน หรือดูพี่ไทยเราก็ได้ว่า สิทธิที่คู่สมรสคนไทยของชาวเยอรมันได้ในประเทศนี้ กับสิทธิของสามีเยอรมันของเราที่จะได้ในประเทศไทยเป็นอย่างไร โห...ห่างกันแบบไม่เห็นฝุ่นเลย
ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ก็อยากจะสรุปว่า ความเป็น”เยอรมัน” หรือความเป็น”ชาติ”อะไร สักอย่างหนึ่งนั้น มีที่มาที่ไปจากไหน สำหรับ ความเป็น”เยอรมัน” ที่กล่าวมาข้างต้น นั้นส่วนหนึ่งก็คือ จารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติอันอาจได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์ สังคม ปรับผ่านกาลเวลา อีกส่วนหนึ่งก็คือ ความรู้สึก ความเห็นของคนนอกที่สัมผัสกับสังคมและคนเยอรมัน สิ่งที่เสริมตรงนี้ก็คือสื่อ ที่อาจเสริมจนทำให้ “สิ่ง”เหล่านี้กลายเป็นภาพตายตัวสำหรับ “เยอรมัน” การพิจารณาอย่างรอบด้านก่อนการตัดสินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หลายๆ อย่างของความเป็น”เยอรมัน” นั้นได้ถูกบ่มเพาะ โดยสังคมเยอรมัน กระบวนการบ่มเพาะลักษณะทางนิสัยนั้นดำเนินอยู่ตลอดเวลา จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะพบว่าคนไทยที่พำนักอยู่ที่นี่นานปี ก็จะได้รับถ่ายทอดลักษณะ”เยอรมัน”บางอย่าง เช่น ความสะอาด เป็นต้น ดูตัวอย่างน้องคนไทยที่ล้างถังขยะนั่นก็แล้วกัน หรือ ความรู้สึกอึดอัดเรื่องการทิ้งขยะ เวลากลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยที่ไม่รู้ว่าจะเอาขวดน้ำพลาสติกไปทิ้งที่ไหน แล้วยังขวดแก้ว กับกระดาษหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ การที่ต้องซื้อของใส่กล่องโฟม อีก โอ๊ย! ยุ่งจริง
การบ่มเพาะทางสังคม อาจจะว่า ว่าเป็นความเคยชินก็ได้ละมั้ง หรือการปรับสภาพให้เป็นไปตามวัฒนธรรมหลัก การปรับให้เป็น”เยอรมัน”อย่างที่ศัพท์ภาษาเยอรมันเขาเรียกว่า eingedeutscht ซึ่งคงพบได้บ่อยกับรสชาติของอาหาร เวลาเรากินอาหารในภัตตาคารไทย ที่รสชาติไม่ค่อยจะจัดจ้านจี๊ดจ๊าด หรืออาหารจีนที่รสชาติเหมือนกันไปหมด คำอธิบายที่ง่าย ๆ ก็คือ เป็น”เยอรมัน”ไปแล้ว schon eingedeutscht นั่นคือต้องปรับรสชาติให้กลายเป็นรสชาติที่เจ้าของประเทศสามารถกินได้
นั่นคือ การบ่มเพาะทางสังคม อาจเกิดขึ้นได้กับการที่เราต้องอยู่กับสิ่งนั้นๆ เป็นเวลานานพอควร เหมือนการดูดซับ ซึมซาบ อย่างคนไทยที่จะซึมซับเอาข้อปฏิบัติบางอย่างของสังคมเยอรมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสะอาด และคนเยอรมันเองเมื่ออยู่กับคนไทยนาน ๆ ก็อาจจะซึมซับอะไรบางอย่างของไทยได้ ตัวอย่างเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัด ก็อย่างหนุ่มเยอรมันของสาวไทยหลายคนที่ไม่ค่อยจะตรงต่อเวลาเท่าไรนัก หรือบางทีก็แวะมาโดยไม่ได้บอกกล่าว ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะดูดซับเอาความรู้สึกเรื่องเวลาแบบไทยๆ ก็เป็นได้
จริยธรรมของเรื่องนี้ (Moral der Geschichte) ก็คือ ความเป็น”เยอรมัน” อาจเป็นเพียงความรู้สึกที่สัมผัสเห็น อาจเป็นลักษณะส่วนบุคคล หรืออาจเป็นภาพที่ได้อิทธิพลจากสื่อ หรืออาจเป็นจารีตลักษณะที่บ่มเพาะมารุ่นต่อรุ่น คงต้องพิจารณากับอย่างเข้าใจถึงความเป็นมา
ซ้ำขออภัยค่ะ
รูปประกอบ : google