มนุษย์กินคนในประวัติศาสตร์ (Cannibalism in History)
การกินเนื้อคน ปรากฏอยู่ในธรรมเนียมปฏิบัติของหลายชนเผ่าในยุคโบราณ โดยมีเหตุผลหลากหลายในการกินเนื้อมนุษย์ ตั้งแต่การเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ การล้างแค้น การถ่ายทอดพลังความสามารถ หรือเพราะความอดอยาก มีแม้กระทั่งที่มองว่าเนื้อคนเป็นอาหารปกติสามัญ
ภาพวาดเกี่ยวกับชนเผ่ากินคน
ในยุคดึกดำบรรพ์ นักโบราณคดีค้นพบร่องรอยหลายอย่างที่สื่อถึงการกินเนื้อพวกเดียวกันเองในกลุ่มมนุษย์วานรนับแต่ยุคของโฮโมอิเร็คตัส ซิแนนโทรปุส หรือที่รู้จักกันในชื่อมนุษย์ปักกิ่ง ที่พบร่องรอยของกระดูกมนุษย์ปักกิ่งที่ถูกทุบจนแตกเพื่อดูดกินไขกระดูกข้างใน รวมทั้งชิ้นส่วนกระดูกที่มีรอยถูกเฉือนด้วยอาวุธหิน เหมือนกับซากสัตว์ที่ถูกชำแหละ นักโบราณคดีเชื่อว่า ซิแนนโทรปุสอาจสังหารพวกต่างกลุ่มและกินเป็นอาหาร หรืออาจจะสังหารพวกเดียวกันที่อ่อนแอเพื่อกินเป็นอาหารในยามที่อาหารขาดแคลน
ซิแนนโทรปุส
นอกจากซิแนนโทรปุส พวกนีแอนเดอร์ธาลที่มีชีวิตอยู่เมื่อหนึ่งแสนถึงสามหมื่นปีก่อน ก็มีหลักฐานว่า มีการกินพวกเดียวกันเอง โดยพบชิ้นส่วนกระดูกที่ไหม้เกรียมในลักษณะที่ถูกย่างกองรวมกับกระดูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ รวมทั้งชิ้นส่วนกระดูกที่ถูกทุบแตกเพื่อกินไขกระดูกข้างในด้วย
สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน การกินเนื้อพวกเดียวกันเองพบในหลายวัฒนธรรม ตั้งแต่ เมโสอเมริกา หมู่เกาะแถบทะเลแคริบเบียน บางส่วนของเอเชีย อาฟริกา ไปจนถึงเกาะนิวกินี
ในเมโสอเมริกา เมื่อราวห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ชาวแอสเท็ค ผู้สร้างอารยธรรมยิ่งใหญ่บนดินแดนที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน มีประเพณีบูชายัญมนุษย์เพื่อสังเวยเทพเจ้า โดยในการประกอบพิธี นักบวชจะนำเชลยศึกมายังแท่นพิธีซึ่งตั้งอยู่บนยอดพีระมิด จากนั้นจะใช้มีดที่ทำจากหินแก้วภูเขาไฟกรีดหน้าอกควักหัวใจเหยื่อบูชายัญออกมา โดยพวกเขาเชื่อว่า เลือดและชีวิตของมนุษย์จะยังความพึงพอใจให้แก่เทพเจ้า ส่วนร่างของเหยื่อนั้นจะกลายเป็นอาหารพิเศษของชนชั้นสูงซึ่งการกินเนื้อมนุษย์ที่ถูกบูชายัญนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม
การบูชายัญของแอสเท็ค
เมื่อครั้งที่ออกเดินทางค้นพบโลกใหม่ใน ปี ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และกองเรือของเขาได้ล่องเรือผ่านไปยังน่านน้ำแถบอเมริกากลางและได้เผชิญหน้ากับชาวแคริบซึ่งเป็นชาวเกาะที่ดุร้าย จากบันทึกของโคลัมบัสได้เล่าไว้ว่า พวกแคริบเป็นชนเผ่านักรบที่ดุร้ายและมักยกกองเรือเข้าโจมตีชนเผ่าอื่นๆที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงเสมอ หลังการโจมตี พวกเขาจะนำเอาเชลยมนุษย์เผ่าอื่นกลับไปยังหมู่บ้านและฆ่ากินเป็นอาหาร ส่วนคนที่ยังไม่ถูกฆ่านั้น จะถูกเลี้ยงเอาไว้กินในวันหลัง ไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นอาหาร
เชลยที่เป็นชายนั้นจะถูกตอน ส่วนเชลยหญิงหากเป็นหญิงสาวหน้าตาดีก็จะถูกใช้เป็นนางบำเรอ โดยพวกคาริบจะร่วมเพศกับพวกนางซึ่งหากพวกนางตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาก็จะถูกนำไปกินเป็นอาหารและหากเมื่อใดที่หญิงสาวเหล่านี้เป็นที่เบื่อหน่ายก็จะถูกฆ่ากินเป็นอาหารเช่นกัน ซึ่งพฤติกรรมการกินเนื้อมนุษย์นี้ พวกสเปนลูกเรือของโคลัมบัสได้มีโอกาสพบเห็นด้วยตาตนเอง หลังจากที่พวกเขาบุกเข้าไปในหมู่บ้านของพวกแคริบและเห็นชิ้นส่วนมนุษย์ทั้งแขน ขาและหัวอยู่ในหม้อปรุงอาหารและบนเตาย่างเนื้อ ความดุร้ายเหี้ยมโหดของชนเผ่าแคริบนี้เป็นที่หวาดกลัวของชนเผ่าอื่นๆและทำให้น่านน้ำในบริเวณนั้นถูกตั้งชื่อในเวลาต่อมา ตามชื่อของชนเผ่านี้ว่า ทะเลแคริบเบียน
ภาพวาดชนเผ่าแคริบ
ในสมัยอยุธยาตอนต้น ช่วงศตวรรษที่ 15 มีบันทึกของชาวโปรตุเกสที่ล่องเรือมายังดินแดนแถบเอเชียอาคเนย์และได้เขียนเล่าถึงชนเผ่าต่างๆ ในแถบนี้ พวกเขาได้เล่าถึง ชนเผ่านักรบดุร้ายที่เรียกว่า กุออส (Guaos) ซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขา โดยมีหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งคล้ายป้อมปราการเป็นที่มั่น พวกกุออสนี้เป็นชนพื้นเมืองที่ดุร้ายและชำนาญในการรบบนหลังม้า พวกเขามักจะขี่ม้าลงมาโจมตีชาวลาวและชนพื้นเมืองอื่นๆ ในที่ราบ
นักรบกุออสจะใช้เหล็กเผาไฟนาบเนื้อตัวเป็นสัญลักษณ์ โดยนอกจากจะเป็นชนเผ่าที่ดุร้ายและชำนาญการรบแล้ว พวกนี้ยังกินเนื้อคนอีกด้วย นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังสันนิษฐานว่า ชาวกูออสที่พวกโปรตุเกสบันทึกไว้นี้ คือชนเผ่าว้า ซึ่งเป็นชนกลุ่มเดียวกับชาวว้าในรัฐว้าของพม่าปัจจุบัน โดยเมื่อราวห้าร้อยปีก่อนพวกว้าเคยมีถิ่นอาศัยกระจายตัวมาถึงบริเวณภาคเหนือของล้านนา ชาวว้าเป็นนักรบที่ดุร้าย ในสมัยโบราณพวกนี้มีธรรมเนียมล่าหัวคนเพื่อนำมาสังเวยผีไร่ โดยเชื่อว่าหัวคนจะบันดาลให้ผีไร่พอใจและทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ นอกจากจะเคยเป็นนักล่าหัวมนุษย์แล้ว ในสมัยโบราณชาวว้ายังมีประเพณีกินเนื้อมนุษย์ด้วย ทว่าได้ยกเลิกไปเมื่อราวสามร้อยปีก่อน
ในทวีปแอฟริกายุคโบราณ ธรรมเนียมการกินเนื้อมนุษย์พบได้ในหลายพื้นที่ โดยบางชนเผ่าจะกินเฉพาะในช่วงสงครามหรือในพิธีกรรมบางอย่าง แต่ก็มีบางชนเผ่าที่มองว่าเนื้อมนุษย์นั้นไม่ได้แตกต่างไปจากเนื้อสัตว์ทั่วไป จากคำบอกเล่าของ จอห์น เอ ฮันเตอร์ ยอดพรานผิวขาวของอาฟริกาได้เล่าไว้ ในสมัยศตวรรษที่ 19 หลายพื้นที่ในป่าดงดิบของคองโกแถบอาฟริกากลาง มีความนิยมในการบริโภคเนื้อมนุษย์กระจายอยู่ทั่วไป
โดยในยุคนั้น จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ในหมู่บ้านจะมีทาสถูกนำไปผูกไว้กลางลานเพื่อให้คนมาซื้อ บางครั้งถ้าหากไม่มีใครต้องการซื้อทาสทั้งคน ก็จะมีลูกค้ามาเลือกซื้อชิ้นส่วนเป็นบางส่วน โดยเจ้าของจะทำเครื่องหมายด้วยการใช้ขี้เถ้าเขียนลงไปบนร่างของทาสเพื่อทำเครื่องหมาย จากนั้นเมื่อมีคนสั่งจองครบทั้งตัว เจ้าของทาสก็จะฆ่าทาสและชำแหละเป็นชิ้นขายให้กับลูกค้าที่สั่งจองไว้
ชาวเกาะฟิจิกำลังนำมนุษย์ไปปรุงเป็นอาหาร
บนเกาะฟิจิ ในสมัยโบราณ เนื้อมนุษย์ถูกยกให้เป็นอาหารพิเศษสำหรับชนชั้นสูงของเผ่าเท่านั้น ทั้งยังมีธรรมเนียมว่า ชนชั้นสูงจะสัมผัสอาหารนี้ไม่ได้ ดังนั้นในเวลากินเนื้อคน จึงต้องมีบริวารใช้วัตถุรูปร่างคล้ายส้อมที่มีสองกิ่งจิ้มเนื้อมนุษย์ป้อนให้กิน
สำหรับบนนิวกินี เกาะใหญ่อันดับสองของโลก ธรรมเนียมกินเนื้อมนุษย์แพร่กระจายในหลายชนเผ่า เช่นชาวอาสมัต ชาวปาปัว ชนเผ่าเหล่านี้มีประเพณีลงโทษผู้กระทำผิดด้วยการสังหารและกินเนื้อคนผู้นั้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะกินเนื้อนักรบฝ่ายศัตรูที่มีฝีมือเข้มแข็ง โดยเชื่อว่าจะได้รับพลังความแข็งแกร่งผ่านทางเลือดเนื้อที่กินเข้าไป ซึ่งธรรมเนียมการกินเนื้อคนนี้ยังคงปรากฏอยู่จนถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองและหมดสิ้นไปเมื่อราวสี่สิบปีมานี้เอง
ชนเผ่าอาสมัต (asmat tribemen)
ทว่าในยุคโบราณ ไม่เฉพาะแต่ชนเผ่าพื้นเมืองที่ล้าหลังหรือเผ่าที่มีประเพณีอันโหดร้ายเท่านั้นที่กินเนื้อมนุษย์ แม้แต่ชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองและมีอารยธรรมที่นับถือกันว่าสูงส่ง ก็ยังมีเหตุการณ์กินเนื้อพวกเดียวกันเอง เช่น ในประเทศจีน ช่วงยุคสงครามระหว่างแคว้น เมื่อกองทัพของแคว้นจ้าวถูกกองทัพฉินปิดล้อมจนขาดเสบียงอาหาร มีเรื่องเล่าว่าพวกทหารจ้าวที่หิวโหยถึงกับลอบฆ่าพวกเดียวกันเพื่อเอาเนื้อมากิน นอกจากนี้ยังมีบันทึกที่เล่าถึงช่วงสงครามกลางเมืองที่เกิดภาวะอาหารขาดแคลนจนทำให้พลเมืองต้องหันมากินเนื้อคนเพื่อความอยู่รอด
ในปี ค.ศ. 1610 หลังจากชาวอังกฤษเข้ามาตั้งอาณานิคมเจมส์ทาวน์ บริเวณอ่าวเซซาพีกทางภาคตะวันออกของทวีปอเมริกา ได้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้น ส่งผลให้ชาวอาณานิคมล้มป่วยและเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก มีบันทึกของจอร์จ เปอร์ซี่ ประธานเมืองเจมส์ทาวน์เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“ชาวเมืองต้องกิน หมาแมว หนูบ้านและหนูนา เพื่อความอยู่รอด ความอดอยากทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีใบหน้าซูบซีดราวกับผี และในช่วงเวลาแห่งความอดอยากนี้ ชายคนหนึ่งได้ถูกลงโทษด้วยความผิดที่เขาสังหารภรรยาของตนที่กำลังตั้งครรภ์และนำเนื้อของหล่อนไปหมักเกลือไว้กินเป็นอาหาร”
แม้ในช่วงหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ พฤติกรรมมนุษย์กินคนก็ยังเกิดขึ้นและไม่ใช่กับพวกชนพื้นเมืองที่ล้าหลังหรือกลุ่มชนที่ตกอยู่ในสภาพสงครามและอดอยาก หากแต่เป็นชาวเมืองผู้อาศัยอยู่ในแดนศิวิไลซ์ที่สงบสุข ซึ่งก่อพฤติกรรมดังกล่าวโดยมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางจิตที่ทำให้พวกเขาสังหารและกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า ในธาตุแท้ของมนุษย์บางคนนั้นยังคงมีความอำมหิตแฝงเร้นอยู่ ไม่ว่าโลกรอบข้างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร