รักนี้แท้หรือเทียม?
แม้ว่าในวงวิชาการการศึกษาเชิงสังคมวิทยา มานุษยวิทยาไปจนถึงรัฐศาสตร์ การศึกษาเรื่องเพศวิถีศึกษาหรือ Gender Studies ในสังคมไทยจะได้ลงหลักปักฐานมากว่า 30 ปี และได้รับความสนใจในวงกว้างตั้งแต่ช่วงสิบปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่ายังมีความสับสนงงงวยอยู่มากต่อคำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้เรียกเพศสถานะที่มิใช่ชายหรือหญิงตามลักษณะทางชีววิทยา
คนไทยยังสับสนต่อคำว่า เกย์ กะเทย กะเทยแปลงเพศ และอาจสับสนกะเทยกับผู้ชายที่แต่งตัวข้ามเพศเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร?
เกย์ คือ ชายที่ชอบชายด้วยกันกะเทยคือชายที่มีจิตใจเป็นหญิงดังนั้นความรักของเขาจึงเป็นรักแบบ ‘รักต่างเพศ’นั่นหมายความว่าเขาจะชอบผู้ชายแท้ที่มิใช่เกย์ กะเทยแปลงเพศ คือ กะเทยที่บรรลุแล้วซึ่งการผ่าตัดให้เพศจากร่างกายและจิตใจสอดคล้องกัน เมื่อเขาแปลงเพศเป็นเธอ ก็เท่ากับว่าได้เป็น‘ผู้หญิงสมบูรณ์แบบ’หลายคนอาจแย้งว่า ไม่มีมดลูก มีลูกไม่ได้จะเป็นหญิงสมบูรณ์แบบได้อย่างไร ก็คงต้องถามต่อไปว่า ‘แล้วผู้หญิงที่มดลูกบกพร่อง มีลูกไม่ได้ เรานับเธอเหล่านั้นว่าเป็นผู้หญิงหรือไม่?’ กรณีกะเทยแปลงเพศก็เช่นกัน หากเรานับหญิงที่ไม่สามารถมีลูกได้ว่าเป็นหญิง กะเทยแปลงเพศแล้วก็ต้องถือว่าเป็นหญิงเช่นกัน ส่วนผู้ชายที่แต่งตัวข้ามเพศ คือ ผู้ชายที่ชอบใส่เสื้อผ้าของผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย มีแฟนเป็นผู้หญิง แต่งงาน มีลูก
มีครอบครัวตามปกติ
ที่ต้องเกริ่นมายืดยาวเช่นนี้เพื่อจะตอบคำถามว่ารักแท้ของหญิงเทียมมีจริงหรือไม่? จะตอบคำถามนี้ได้ก็ต้องเข้าใจให้ตรงกัน
เสียก่อนว่าใครคือ ‘หญิงเทียม’
หากอิงกับนิยามข้างต้น หญิงเทียมคือกะเทยทั้งที่แปลงเพศแล้วและไม่ได้แปลงเพศ
สำหรับฉันผู้ไม่เชื่อในรักแท้ ก็ต้องตอบว่ารักแท้มีจริงหรือไม่ คงไม่เกี่ยวกับการเป็นหญิงแท้ หญิงเทียม ชายแท้ ชายเทียม?
พูดให้ถึงที่สุดคือไม่เกี่ยวกับ ‘เพศสถานะ’ ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่มีหลายปัจจัยประกอบ เช่น คนนั้นนิยามรักแท้ว่าคืออะไร?
แค่นี้ก็เป็นปัญหาแล้ว เพราะนิยามของคำว่ารักแท้แต่ละคนก็ไม่ตรงกัน
บ้างก็บอกว่า รักแท้คือการครองรักกันจนวันตายถามว่าหลายคู่ครองรักกันจนวันตาย แต่ก่อนตายที่อยู่ด้วยกันได้นั้นเพราะทนอยู่โคตรจะทุกข์ทรมาน แต่อยู่จนชิน อยู่ไปงั้นๆ อยู่เพราะนึกไม่ออกว่าการอยู่คนเดียวนั้นเป็นอย่างไร แบบนี้เรียกว่า รักแท้หรือไม่?
ฉันคิดว่าโลกในศตวรรษที่ 21 เราไม่ควรนั่งคร่ำครวญหรือหมกมุ่นอยู่กับเรื่อง ‘รักแท้’จะเป็นคนเพศไหนหรือมีหลายเพศในร่างเดียว สิ่งที่คุณควรมองหาในการมีความสัมพันธ์คือ ความสัมพันธ์ที่มีความเสมอภาค ความสัมพันธ์ที่คุณกับคนรักของคุณต่างมีความเคารพในกันและกัน มีความวางใจในกันและกัน มีความเปิดเผยจริงใจต่อกัน และไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงถึงอนาคต ไม่จำเป็น
ต้องตั้งความหวังว่าเราต้องอยู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย เพราะคนจะอยู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลายก็คงเหมือนในนิยายของมาลัยชูพินิจนั่นเอง คือ คนสองคนถูกจับมัดมือมัดเท้าติดกัน
ถ้าอย่างนั้นเราควรคาดหวังอะไร คำตอบคืออย่าไปหวัง กำปั้นทุบดินไปหรือเปล่า? ความรักมันคงมีอายุของมัน เหมือนอาหารกระป๋องนั่นแหละ ถ้ามันหมดอายุก็คือหมด ไปหากระป๋องใหม่มากิน หาไม่ได้ก็อดกิน แต่ถ้ารักกันไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีวี่แววว่าจะหมดอายุก็กินต่อไป แต่ก็ต้องหมั่นเช็คสภาพ นั่นคือกลับไปดูที่ปัจจัยสำคัญที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ ในความสัมพันธ์นี้มีใครต้องยอดอดทนโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?มีใครอึดอัดแล้วแสร้งว่ามีความสุขเพียงเพราะ กลัวการพลัดพรากหรือเปล่า?อยู่ๆไปแล้วสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองหรือเปล่า?
เห็นใครบางคนพอมีแฟนแล้วจิตตกนั่งเช็คโทรศัพท์ บีบีไปหาแล้วทำไมไม่ตอบ วันนี้เขาจะไลน์มาหาไหม เอ๊ะ! ปกติเคยโทร.มาเวลานี้แล้วทำไมไม่โทร? จะไปไหนกับเพื่อนก็ต้องคอยเช็คแฟนก่อนว่าแฟนจะนัดหรือเปล่า? พูดง่ายๆ คือค่อยๆ ย้ายศูนย์กลางจักรวาลไปสู่สิ่งมีชีวิตทีเรียกว่า ‘แฟน’ มีแฟนแต่ไม่มีความสบายใจ ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าจะมีแฟน จะมีความรักและจะอยาก
แสวงหาสิ่งที่เรียกว่ารักแท้ไปทำไม?
ดังนั้นจึงอยากให้กำลังใจ ‘สาวเทียม’ เราไม่จำเป็นต้องหารักแท้ ที่สำคัญเราไม่ต้องการความรักจากคนที่ไม่ดีพอสำหรับเรา!
คนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา คนที่เหยียดเพศ คนที่นึกว่าโลกใบนี้มีแค่จู๋กับจิ๋ม คนที่คิดว่าโลกนี้เสียบกันได้แค่รูเดียวฯลฯ คนแบบนี้หรือที่คุณอยากได้เป็น ‘คนรัก’ คนแบบนี้คือเหล่ามนุษย์ที่เราต้องไล่ให้พวกเขากลับไปผสมพันธุ์กันในหมู่คนชอบ ‘กะลา’ เล็กๆ แคบๆ ด้วยกัน ผลิตลูกผลิตหลานให้เติบโตง่อยเปลี้ยเสียขากันในกะลาต่อไป ‘สาวเทียม’ อย่างเราจะไปเอามาควงให้โลกเขาลือก็เสียชื่อกันพอดี
มันง่ายมากหากเราจะมีชีวิตอยู่ไปให้เหมือนกับคนอื่น ชอบในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบอะไรที่คนเขาว่าดี เราก็ว่าดีด้วย อะไรที่ คนเขาว่างามเราก็ว่างามด้วย อะไรที่เขาว่าอร่อยเราก็อร่อยด้วย เราแค่กลมกลืนไปกับกระแส ยิ้มเหมือนที่คนอื่นเขายิ้ม ชื่นชมในสิ่งที่คนอื่นเขาชื่นชม มีความรัก มีความฝัน เหมือนที่คนอื่นมี แสดงความรัก จูงมือ กอดจูบกันเหมือนที่คนอื่นทำ ทำได้อย่างนี้การมี ‘ความรัก’ หรือ การมี ‘คู่’ ก็ใม่ใช่เรื่องยากนัก
แต่ความกล้าที่จะแตกต่าง กล้าจะกำหนดไวยากรณ์ในความสัมพันธ์ของตัวเอง อีกทั้งภูมิใจในตัวเอง มากพอที่ตระหนักว่า หากวันนี้ยังไม่เจอใครสักคนที่มีค่าคู่ควรกับเราจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องมีใครก็ได้ให้พอประทังให้พอมีคนควงไปเดินห้างฯ
ทำได้ดังนี้ฉันเชื่อว่าไม่คุณจะแท้หรือจะเทียม คุณจะเป็นคนที่มีความสุขในความรัก มากกว่าพวกเพศ ‘แท้’ ที่ไม่รู้เท่าทันความรัก ‘เทียม’
หมายเหตุ : รูปประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
รูปประกอบ : อินเตอร์เน็ต