จากกรุงเทพ-ปาย งบในการท่องเที่ยว 2500 บาทเป็นไปได้!! ตอนที่ 2
"ความสุขหมายเลข7" Look at the world (เชียงใหม่)
วันที่ 23 มกราคม 2556
อยากจะตบหน้าตัวเองว่าทำไปได้ยังไง!!ยังจำความรู้สึกที่ยืินอยู่ริมถนนได้เลย
รถคันแล้วคันเล่า ผ่านเราไป หัวใจก็เต้นจังหวะดิสโก้ รุมบ้า ชะชะช่า เอาเป็นว่าเต้นแรง
หน้าแดงผ่าว ทั้งอาย ทั้งร้อน แต่เราก็มาถึงเชียงใหม่จนได้
เช้านี้ลงมาจิบ กาแฟ และ โอวัลติน โรงแรมมีบริการตอนเช้า
คุ้มมั่กๆ กับราคา 300 บาท หารสอง
เริ่มต้นสวัสดีเชียงใหม่ เมืองที่มาเมื่อไหร่ก็พาให้เราตาุลุกวาวเบิกกว้าง
ถึงจะมาแทบทุกปี ก็ยังตื่นเต้นกับผู้คนและสถานที่ต่างๆนาๆ
เราเช็คเอ๊าท์ แล้วโบกรถแดงไปที่ร้าน bikky ร้านสำหรับเช่ารถ
สัมภาระ & พาหนะ
ทั้งทริปสงสารรถคันนี้ที่สุดต้องแบกคน 2 คนและสัมภาระเยอะแยะขึ้นเขา
คันสนนราคาอยู่ที่ 200 บาทต่อวัน เพราะเป็นเกียร์ธรรมดาเราเล็งเห็นแค่ว่า
มันช่วยเซฟเงินเราได้ แต่ไม่ได้นึกถึงข้อเสียที่ร้ายแีรงเลย
เกียร์ธรรมดา ถ้าขับในเส้นทางลาดชันอย่างเช่น ภูเขา
จะมันส์มาก ตบเกียร์ เกร็งขาจนแข็งไปทั้งลำแข้ง
แรกๆอาจจะัลำบากมาก พอขับไปเรื่อยๆร่างกายจะปรับตัวได้เอง
หลังจากได้รถมอเตอร์ไซต์แล้ว สถานที่แรกที่เราเล็งเห็นว่าควรไป
คือดอยสุเทพ จุดหมายคือ ขุนช่างเคี่ยน เป็นสถานที่ ที่เหล่า
(นาง)พญาเสือโคร่งจะเบ่งบานกันแค่ช่วงเดียวในรอบปี
อยากไปให้เห็นกับตาว่าจะสวยแค่ไหน
ตามมาเลยค่ะ
อากาศบนดอยสุเทพ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้า หมอกลงหนาจนน่ากลัว
เส้นทางขึ้นเป็นถนนเลนซ์เดียว แน่นอนว่าอันตรายมาก ต้องขับรถอย่างระมัดระวัง
เห็นแล้ว ดอกสีชมพูบานหลายต้นอยู่เหมือนกัน จุดนี้เป็นจุดที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวขึ้นมา
เหตุเพราะเส้นทางที่ค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าขึ้นมาได้ บอกเลยว่าคุ้มมั่กๆ
ราวกับว่าธรรมชาติให้รางวัลสาขาความพยายามยอดเยี่ยมในการขึ้นมาที่นี่
อากาศเย็นสบาย เิดินชมดอกไม้สีชมพูเบ่งบานเต็มภูเขา จิบกาแฟซักแก้ว แค่นี้ก็สุขจนล้นแล้ว
เดินดูดอกไม้ไป พลางจินตนาการถึงหนังซีรี่ญี่ปุ่นที่เคยดู เฮ้ย!! ใช่เรย เสมือนตัวเองเป็นนางเอก
ช่วงฤดูหนาวไม้ดอกต่างๆ พากันชูกิ่งก้าง อวดความงามแข่งกัน ประโยชน์ตกอยู่ที่ผู้ชมอย่างเราๆ
ภาพนี้ถ่ายที่ดอยสุเทพ วันที่หมอกลงหนาอากาศเย็นๆ นกน้อยตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ้งไม้เพียงตัวเดียว
จะหนาวมั้ย............จะเหงารึเปล่า............ที่ต้องอยู่คนเดียวในวันหนาวๆเหงาๆแบบนี้
ฉันเดินเข้่าำไปผูกมิตรกับนกน้อยตัวนี้อย่างไม่รอช้า แต่ท่าทางน้องนกไม่อยากเป็นมิตรกับคนแปลกหน้า
ทำืท่าจะจิกท่าเดียว
มาถึงดอยสุเทพแน่นอนว่า ต้องขึ้นมาสักการะพระธาตุดอยสุเทพ
ไหว้พระขอพร ให้ทริปนี้เราเดินทางกันราบรื่นปลอดภัย ราบรื่นไปด้วยดี
เช่นเคยทุกครั้งที่ฉันมาดอยสุเทพ ฉันจะแวะทักทายเพื่อนเก่าของฉัน..........ฉันรู้จักเพื่อนเก่าต้นนี้มาหลายสิบปี
ตั้งแต่ฉันยังอยู่ประุถมและเพื่อนของฉันยังไม่โตเท่าไหร่ เธออยู่ที่โค้งนี้มานานแสนนานฉันแวะทักทายเธอ
เราไม่เจอกันมาประมาณหนึ่งปีกว่าๆเธอโตขึ้น ฉันก็โตขึ้น เธองดงามขึ้นมากหวังว่าครั้งหน้า........ไม่สิ
ไม่ว่าครั้งไหนที่ฉันมาเธอยังจะอยู่ตรงนี้ รอดูฉันเติบโตไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้เจอเธออีก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อมั่น
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรฉันจะกลับมาอีก เพื่อพบเธออีก
ฉันมั่นใจว่าเธอจะอยู่ที่เดิมแห่งนี้่
ลาก่อนแล้วเจอกันใ่หม่ ฉันสัญญาว่าครั้งหน้าฉันจะเติบโตขึ้น......ให้มากกว่าตอนนี้
หลังจากที่พวกเราทัวร์ดอยสุเทพเรียบร้อยแล้ว กระเพาะของพวกเราเหมือนจะรู้งานส่งเสียงไถ่ถามมาเป็นระยะๆ ได้เวลาหาข้าวเที่ยงแล้วฝากมื้อเที่ยงไว้ที่ "ข้าวซอยฟ้าฮ่าม" ร้านดังของเชียงใหม่
มาเชียงใหม่ก็ต้องร้านนี้แหละ ถูกและอร่อย จัดกันไปคนละ 2 ชาม
หลังจากจัดการกับมื้อเที่ยงสำเร็จ พลังงานในตัวถูกชาร์ตเต็มเปี่ยมพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง จุดหมายวันนี้อยู่ที่ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัีงเวลาตอนนี้ประมาณเที่ยง ต้องขับรถขึ้นเขาประมาณ 120 กิโลเมตรไปห้วยน้ำดังเส้นทางในการขับรถคือ ออกไปทางเส้น แม่ริม ก่อนถึงแม่แตง เลี้ยวซ้ายเพื่อไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ถนนหนทางช่วงแรกค่อนข้างดี แต่พอเข้าเขตภูเขา ไหล่ทางชำรุดหลายจุด
เคราะห์ซ้ำฟ้าทำให้เราผิดหวังเมฆสีเทาครึ้มๆ เริ่มอดรนทนไม่ไหวปล่อยละอองเล็กๆออกมาทำให้ถนนลื่น
นอกจากจะพ่นละอองบางๆออกมา บางครั้งก็ปล่อยเป็นเม็ดใหญ่ๆทำให้พวกเราต้องหาที่หลบกันสัมภาระเปียก
เส้นทางยากลำบากกว่าที่คิดไว้จากตอนแรกเยอะ คิดว่าขับมอเตอไซต์ขึ้นเขาชิลๆ ที่ไหนได้ทั้งฝน
ทั้งทางลาดชันที่ไม่ค่อยดีถ้าประมาทเพียงนิดเดียวได้ พวกเราคงได้กลายเป็นวิญญาณเฝ้าโค้งแน่ๆ
แตุ่ถึงกระนั้นเราก็พร้อมที่จะเสี่ยง เพราะ"รางวัลชีวิต" ที่เีราจะได้รับหลังจากนี้
มันคุ้มค่าที่กับแรงกาย แรงใจ และเยียวยาความเหนื่อยอ่่อนของเราได้
ยิ่งขึ้นมาสูง อากาศเริ่มหนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆ สายลมเย็นๆเยือกเซาะเข้าไปผ่านเสื้อกันหนาว
การขับรถมอเตอไซต์ทำให้สำผัสความหนาวเย็นได้อย่างใกล้ชิด จนมือเริ่มแดง
สายฝนเม็ดเล็กๆเริ่มเปรียบเสมือนเข็มทิ่มแทงผิว
วินาทีนั้นฉันคิดว่า ตรูไม่น่าขับมอเตอไซต์มาเลย T^T
แต่มอเตอไซต์ก็มีข้อดีใหญ่ๆอยู่หนึ่งประการ ที่รถโดยสารหรือรถใหญ่ๆไม่มี
อยากหยุดตรงไหนถ่ายภาพตรงไหน ทำได้เลยสะดวกสบาย ทำให้เรามีภาพถ่ายเก๋ๆเก็บไว้นั่งดูเล่น
แสงอาทิตย์เป็นแหล่งให้ความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวค่อยๆหายไป
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำจวนเจียนจะโบกมือลาขอบฟ้า
พวกเรามาถึงห้วยน้ำดังพอดี จัดแจงซื้อบัตร เข้าเต๊นท์ืี่ที่พัก
จนถึงนาทีนี้หมดเงินในกระเป๋าคนละ 1 พันต้นๆ
วันที่พวกเราไปพักเป็นวันปกติ นักท่องเที่ยวเงียบเหงา
อากาศเย็นๆในระดับเลขตัวเดียว กลางคืนความหนาว
แหวกผ่านถุงนอนที่ฉันคิดว่ามันน่าจะกันได้
คืนนี้เรานอนคุยกันในเต๊นท์ เช็คข่าวคราวต่างๆในอินเทอเน็ต
ก่อนที่จะกัดฟันสู้กับอากาศหนาวข่มตาหลับ
6 โมง เปิดเต๊นท์ออกมา โอ้โห้ฟ้าสีเหลืองทอง
แต่ไข่แดงยังไม่โผล่ เราเตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะไปดักถ่ายภาพ
ทะเลหมอกหนาแน่น เป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจมาก ฉันจับแขนเพื่อนพลางพูดว่า
"แก เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นทะเลหมอกที่ไหนใหญ่เท่าที่นี่มาก่อนเลย"
ฉันคิดว่านี่คงเป็นรางวัลของความพยายามแน่ๆ การจะเกิดทะเลหมอกที่ใหญ่ขนาดนี้
คงต้องอาศัยเวลาที่เหมาะจริงๆถึงจะพบเจอ และ เราโชคดีที่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้น
ภาพเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งในความยิ่งใหญ่เท่านั้น เพราะกล้องสามารถเก็บภาำำพได้ในขอบเขตที่จำกัด
แต่ภาพตรงหน้าฉันมันเข้าไปอยู่ในสมอง และ หัวใจฉันเรียบร้อย ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในแมมโมรี่ของสมอง
สายตาที่มองเห็นได้กว้างกว่ากล้อง ฉันรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ทะเลหมอกได้
เห็นต้นเมเปิ้ลต้นนึง เลยถ่ายภาพเก็บไว้
อีกรูป
ดอกไม้ริมทาง
แอบดูนางพญาเสือโคร่งแบบใกล้ๆกัน เสือโคร่งแสนสวยแห่งฤดูหนาว
เจอเจ้าต้นนี้ที่ห้วยน้ำดัง ใกล้ๆกับร้านอาหารสวัสดิการ
ถึงเวลาเก็บสัมภาระขึ้นบ่า โบกมือลาทะเลหมอก และเหล่าดอกไม้
เพื่อไปยังเมืองที่โรแมนติคที่สุดของประเทศไทย พาหัวใจของฉันไปปาย
พบกันตอนหน้าค่ะ