คุยเรื่อง ผีและมนุษย์ต่างดาว กับ อ.เทพพนม
ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน
เรื่องผีกับเรื่องมนุษย์ต่างดาว ยังเป็นเรื่องเร้นลับ คนส่วนใหญ่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหล แต่ในความจริงก็คือมีปรากฏการณ์มากมายที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ดังนั้น พอคุณกำพล แห่งไทก้า โทรมาชวนผมไปสนทนากับคนที่คุยกับผีกับมนุษย์ต่างดาวได้ ผมก็เลยเกิดความสนใจ ยิ่งได้ยินชื่อว่าเป็น ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน คนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล HARVARD ALUMNI AWARD OF MERIT ด้านสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยแล้ว ถือเป็นโปรแกรมที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง
เวลา 16.30 น. ของวันที่ 30 สิงหาคม คุณกำพล รัตนจางวาง พร้อมทีมถ่ายทำสารคดี เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง White Noise (จับเสียงผี) ก็มาถึงบ้านอาจารย์ที่ วิภาวดีซอย 8 ส่วนผม ชวนคุณพันธุ์ทิตต์ ไปร่วมฟังสนทนาด้วย เพราะรู้ว่าเขาก็สนใจเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน ภายในบ้านอาจารย์ถูกตกแต่งแบบเรียบง่าย ที่สะดุดตาก็น่าจะเป็นอัลบั้มภาพที่บันทึกเรื่องราวของจานผี, มนุษย์ต่างดาว และภาพวิญญาณต่างๆ ผมขออนุญาตถ่ายภาพเหล่านี้มาเผยแพร่ ซึ่งอาจารย์ก็อนุญาตโดยดี พร้อมบอกว่า คนจะได้เชื่อเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว
หลังจากทีมพร้อมก็เริ่มบันทึกภาพและเสียงกัน คำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ผีมีจริงหรือไม่ ? อาจารย์อธิบายว่า ท่านเคยพิสูจน์เมื่อคราวไปอียิปต์ ตอนไปดูสุสานฟาโรห์ บริเวณที่ฝังพระศพ โดยขอนำเทปไปบันทึกเสียง และห้ามผู้คนผ่านบริเวณนั้นเป็นเวลาสิบนาที ท่านอยู่ในความเงียบ และวังเวง แต่เมื่อสิบนาทีผ่านไป เมื่อกรอเทปเสียงที่บันทึก กลับปรากฏเสียงคล้ายคนกำลังสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา ให้คนอียิปต์ฟัง เขาก็บอกว่าเป็นภาษาอียิปต์โบราณ เรื่องการบันทึกเสียงนี้ ท่านบอกว่า หากไปในสถานที่ ที่เชื่อว่ามีวิญญาณ แล้วลองอัดเสียงไว้ก็สามารถจะบันทึกเสียงของผู้ตายได้ ทั้งที่เวลาบันทึกเสียงนั้น หูเราอาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยก็ตาม เรื่องเหล่านี้ อาจารย์อธิบายว่า เป็นเรื่องของคลื่นความถี่ของเสียง ซึ่งหากได้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ดีๆ ก็สามารถจะจับคลื่นเสียงที่มีความละเอียดเกินกว่าหูของมนุษย์จะรับรู้ได้ โดยเชื่อว่าอีกสิบปี ประเทศอเมริกา จะสามารถจะผลิตเครื่องที่ติดต่อกับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วได้
คุณกำพลถามว่า เวลาที่วิญญาณมา ทำไมอากาศรอบข้างมักจะเย็น อาจารย์อธิบายว่า วิญญาณต้องดึงพลังงานความร้อนในบริเวณนั้นมาช่วยเพื่อการปรากฏร่าง ทำให้บริเวณนั้นมีอากาศเย็นลงกว่าปกติประมาณ 5 องศาเซลเซียส จากนั้นเราก็สนทนากันถึงเรื่องชีวิตหลังความตาย โดยยกกรณีของ ดร.คลุ้ม วัชโรบล ซึ่งท่านพยายามพิสูจน์เรื่องนี้ โดยหลังจากเสียชีวิตได้มาเข้าร่างของบุตรชาย และอธิบายถึงชีวิตอีกมิติหนึ่งว่า ดินแดนที่ไปอยู่ไม่มี ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แต่มีความสว่าง และอากาศเย็นสบาย เวลาหิวก็นึกถึงอาหาร อาหารก็จะปรากฏ แต่จะเป็นอาหารเฉพาะตน ก็จะมีข้าว ไข่เจียว (ไม่มีน้ำ) ก็สามารถรับประทานได้แค่นั้น มีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วย แต่อาหารจะแตกต่างกันไป บางคนก็จะมีอาหารมากมาย แม้ตนไปขอแบ่ง เจ้าของอาหารอนุญาต แต่เวลาจะหยิบเข้าปาก อาหารเหล่านั้นก็จะอันตธานไป ท่านจึงเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้คงเป็นเรื่องของกรรม ใครทำกรรมดีก็จะได้สิ่งดีในภพต่อไป สมบัติพัศสถานไม่สามารถนำติดตัวไปได้เลย (ญาติผู้ตาย สามารถทำบุญ ใส่บาตร ทำสังฆทานไปให้กับผู้ตายได้ โดยญาติต้องกล่าวคำอุทิศ) การพิสูจน์เรื่องวิญญาณของ ดร.คลุ้มในคราวนั้น เป็นข่าวใหญ่โต เพราะเพื่อนสนิทสามคนของท่าน ไม่เชื่อเรื่องนี้ ต่างพากันมาพิสูจน์ซักถามลูกชายของท่านเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็ม รวมทั้งความลับต่างๆ ที่มีแต่เพื่อนสนิทเท่านั้นที่ทราบจึงจะตอบได้ แต่ลูกชายของท่านก็ตอบได้หมด ในเวลานั้น ศ.ดร.เทพนม ขอบันทึกภาพร่างของ ดร.คลุ้ม ท่านก็บอกว่าไม่มีร่างแล้ว (ภาพที่ปรากฏจากการถ่ายภาพโพลาลอยด์ในสมัยนั้น จึงได้เพียงแถบแสงสีฟ้าที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณของ ดร.คลุ้ม) และจากการวัดคลื่นสมองของบุตรชายท่าน ในวันนั้น ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
สิทธิเดช ลีมัคเดช เก็บความ