โรงถ่ายภาพยนต์เสียงศรีกรุง บันทึกเสียงในฟิล์มแห่งแรกของไทย
ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง หรือ ศรีกรุงภาพยนตร์ เป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์ไทย สมัยรัชกาลที่ 7 กิจการแห่งเดียวที่สร้าง "หนังพูด" อัดเสียงลงฟิล์มขณะถ่ายทำพร้อมกัน (ซาวด์ออนฟิล์ม) ของพี่น้องตระกูลวสุวัต เจ้าของโรงพิมพ์และหนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง ซึ่งชอบเรื่องสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆตั้งแต่วัยเยาว์ นำโดย มานิต วสุวัต เจ้าของโรงถ่ายภาพยนตร์มาตรฐานสากลแห่งแรกของไทยที่ได้ฉายา ฮอลลีวูดเมืองไทย
(ซ้าย) นาย มานิต วสุวัต หลวงกลการเจนจิต(เภา วสุวัต)
สองบุคคลสำคัญของตระกูลวสุวัต แห่งบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง
ถ่ายทำหนังข่าวและสารคดีที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ หลายเรื่อง ตลอดจนสร้างหนังที่มีชื่อเสียงและเพลงอมตะไว้อีกมาก รวมทั้งหนังชั้น ซูเปอร์ ใช้ทุนและฉากมโหฬาร 2 เรื่อง คือ เลือดทหารไทย และ เพลงหวานใจ
ยุคทองของบริษัท มีนักแสดงในสังกัดหลายคนและนักแสดงระดับ "ดารายอดนิยม" คู่แรกของวงการ คือ จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ
จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ
ภาพยนตร์เรื่อง "เพลงหวานใจ" ปี 2480
นำแสดงโดย จำรัส สุวคนธ์ มานี สุมนนัฐ
นายมานิต วสุวัต มองเห็นว่ากิจการสร้างหนังไทยสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นต่อไป จึงได้ลงทุนจัดตั้งกิจการสร้างภาพยนตร์บันเทิงในระบบเสียงในฟิล์มขึ้น เรียกชื่อว่าภาพยนตร์เสียงศรีกรุง โดยจัดสร้างห้องแล็บติดตั้งอุปกรณ์พร้อมมูลขึ้นที่ร้านวสุวัต ย่านสะพานขาว และหลังจากใช้เวลาติดตั้งและปรับปรุงเครื่องมือจนสามารถใช้งานได้ผลพอใจแล้ว คณะภาพยนตร์เสียงศรีกรุงก็ลงมือสร้างภาพยนตร์บันเทิงเสียงในฟิล์มเรื่องแรก คือ " หลงทาง " สำเร็จออกฉายเป็นการร่วมฉลองกรุงเทพฯ ๑๕๐ ปี เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่โรงหนังพัฒนากร
แม่น ชลานุเคราะห์ พระเอกในภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของศรีกรุง
"หลงทาง" (2475)
กิจการภาพยนตร์เสียงของศรีกรุงเจริญรุดหน้าตามลำดับ ภาพยนตร์ของศรีกรุงประสบความสำเร็จแทบทุกเรื่อง จนทำให้นายมานิตตัดสินใจสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงขนาดใหญ่ติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัย และสมบูรณ์แบบขึ้นที่ ซอยอโศก บางกะปิ (สมัยก่อนเรียกย่านนี้ว่าทุ่งบางกะปิ) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ การก่อสร้างโรงถ่ายแล้วเสร็จในอีกหนึ่งปีต่อมา หลังจากนั้นบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงก็สามารถผลิตภาพยนตร์เสียงระบบมาตรฐาน ออกเผยแพร่สู่ประชาชนได้อย่างสม่ำเสมอโดยเฉลี่ยปีละสามถึงสี่เรื่อง เช่น สัตหีบ พญาน้อยชมตลาด เมืองแม่หม้าย เพลงหวานใจ เป็นต้น
แต่แล้วกิจการสร้างภาพยนตร์ที่เจริญรุ่งเรื่องตลอดมาถึงกาลหยุดชะงักลงเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น นายมานิตได้หันไปทุ่มเทให้กับกิจการหนังสือพิมพ์รายวัน สยามราษฎร์และ ศรีกรุงแทน จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงสถานการณ์ของบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงก็ไม่กระเตื้องดีขึ้น เพราะศรีกรุงได้สูญเสียบุคคลผู้เป็นกำลังสำคัญของกิจการนี้ไปหลายคน โดยเฉพาะการเสียชีวิตของหลวงกลการเจนจิตในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ประกอบกับช่วงนั้นความนิยมในหนังพากย์ ๑๖ มิลลิเมตรได้เข้ามาแทนที่ภาพยนตร์ ๓๕ มิลลิเมตร เสียงในฟิล์ม จึงทำให้นายมานิต ตัดสินใจยุติการสร้างภาพยนตร์โดยสินเชิง โดยหันไปเปิดโรงงานผลิตแผ่นเสียงแทน ส่วนโรงถ่ายภาพยนตร์ก็ได้รับการดัดแปลงให้เป็นโรงภาพยนตร์ในชื่อ ศาลาศรีกรุง
ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ นายมานิตได้หวนกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งโดยรวบรวมทายาทในตระกูลวสุวัตจัดตั้งบริษัทศรีกรุงยุคใหม่ขึ้น แต่กิจการสร้างภาพยนตร์ของศรีกรุงยุคใหม่ดำเนินไปได้สองปีเท่านั้นก็ต้องปิดตัวเองลงอีกครั้ง เนื่องจากประสบความล้มเหลวมาโดยตลอด คงไว้เพียงแผนกผลิตแผ่นเสียงและปรับปรุงโรงถ่ายเป็นโรงภาพยนตร์ฉายหนังควบ พ.ศ.2493 ราว 14 ปีต่อมา มีเฉพาะงานผลิตแผ่นเสียงหลังจากนั้นชื่อศรีกรุงก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับการกาลเวลา
นายมานิต วสุวัต เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยวัย ๘๕ ปี
เรื่องบางเรื่อง มีประวัติที่บุกเบิกและฟันฝ่า ประสบความสำเร็จและล้มเหลว อดีตที่หลายคนมีเหตุผลว่า ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม ผมเองเห็นว่าประวัติเรื่องราวของท่านทั้งหลายที่ฟันฝ่ามา เป็นรากฐานของความสำเร็จและพัฒนาให้กับคนรุ่นหลัง เรื่องราวของเราในวันนี้ ก็อาจจะเป็นอะไรที่ไม่มีใครอยากจดจำ แต่สำหรับเรื่องที่เรียบเรียงมาให้อ่านนี้ก็หวังให้เพื่อนๆ ได้รับรุ้เรื่องราวเพื่อเป็นเกียรติแด่หนึ่งในหลายท่านผู้บุกเบิกทั้งหลายขอบคุณครับ...mata
เรียบเรียงโดย พรชัย สังเวียนวงศ์ (mata)
ขอบคุณภาพประกอบ http://forum.thaidvd.net/lofiversion/index.php/t116067-5900.html, http://www.thaifilm.com/forumdetail.asp?topicid=3868&page=1&keyword=
ขอบคุณแหล่งข้อมูล