เรื่องเล่าลี้ลับในวังเจ้านาย 2
สกู๊ปที่แล้ว ได้โพสท์ "เรื่องเล่าลี้ลับในวังเจ้านาย" ไว้ตอนสั้นๆ เพราะคิดว่าอาจไม่มีคนอ่านนัก เชื่อว่าเพื่อนๆ ในโพสท์จังคงชอบอะไรที่อยู่ในกระแสมากกว่า แต่เผอิญมีเพื่อนสมาชิกเขียนคอมเม้นท์ว่าอยากให้นำเรื่องทำนองนี้มาลงอีก ก็เลยค้นหาและเรียบเรียงมาให้ได้อ่านกัน ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่คอมเมนท์ในกระทู้ที่แล้วจึงทำให้มีเรื่องนี้ต่อครับ
"เจอดีที่ห้องเจ้าจอม"
ที่เคยเป็นเรื่องเล่าในสมัยก่อนก็ยังไม่จางหายไป ยังคงเล่าสืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น แม้ในปัจจุบันข้าราชบริพารที่ทำงานในพระบรมมหาราชวัง ก็ยังตั้งวงเล่าเรื่องชวนขนหัวลุกกันอยู่ หลังอาทิตย์ตกดินจะไม่มีใครอยู่ทำงาน ขนาดมีงานพระราชพิธีเปิดไฟสว่างคนเยอะก็ยังไม่กล้าเดินคนเดียว พวกรุ่นพี่จะบอกรุ่นน้องที่มาทำงานใหม่เสมอๆ ว่า "เลิกงานแล้วกลับบ้านเลยนะ ใครอยู่ดึกรับรองเจอดีแน่!" จากที่เคยเดินเที่ยวชมพระบรมมหาราชวังไปกันเป็นหมู่คณะ ไม่ต้องรออาทิตย์ตกดินก็เสียงสันหลังได้
เรื่องมีอยู่ว่า สำนักพระราชวังมีที่พักไม่พอให้ข้าราชการที่บ้านอยู่ไกลได้พัก จึงต้องจัดให้พักตามตำหนักและเรือนเก่า ของเจ้าจอมหรือเจ้าจอมมารดาในเขตพระราชฐานชั้นใน ข้าราชการคนหนึ่งได้พักในตำหนักพระองค์เจ้าประเวศวรสมัย (พระราชธิดาใน ร.๕ กับเจ้าจอมมารดาทับทิม) เป็นตำหนักแบบตะวันตกรูปตัวยู ก่ออิฐปูนถึง ๒ ชั้น
คืนแรกไปนอน อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่ด้วย เหมือนมีคนเดินผ่าน บางทีก็นอนตกเตียงเพราะมีมือดีมาดึง ก็เลยอยู่ไม่ไหว ไม่ได้เป็นอันหลับอันนอนกัน ต่างก็กลัวจนตัวสั่น ด้วยเกรงในพระเดชานุภาพพระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยสิ้นพระชนม์ในตำหนักนี้ จึงขอขมาลาโทษ และลงมานอนข้างล่างหรือห้องนั่งเล่นถึงนอนหลับได้โดยไม่มีอะไรรบกวนอีก
"เหตุ ณ บ้านเจ้าจอมก๊ก อ."
ถ้าใครได้อ่านบทความเจ้าจอมเอิบในกระทู้ก่อนหน้านี้ก็คงเห็นภาพชัดขึ้น เหตุการณ์นี้ข้าราชสำนักเจอดีที่หน้าเรือนของ เจ้าจอมก๊ก อ. ซึ่งเจ้าจอมก๊ก อ. นี้เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เจ้าเมืองเพชรบุรี กับท่านผู้หญิงอู่ บุนนาค โดยเป็นพี่น้องกัน ๕ คน ได้แก่ เจ้าจอมมารดาอ่อน, เจ้าจอมมารดาเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ, เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน (รูปข้างล่างเรียงจากซ้ายไปขวานะครับ)
เรือนของเจ้าจอมทั้ง ๕ อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ตัวเรือนใช้โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหลัง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสี่ชั้น ประตูทางเข้าอยู่ทิศเหนือ ทำเป็นรูปครึ่งวงกลม มีหน้าต่างเจาะเป็นรูปโค้งอยู่ตรงกันทุกชั้น ด้านหน้าชั้นที่สองและชั้นที่สามทำเป็นเฉลียง ส่วนชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพาร ส่วนชั้นที่สองเป็นที่อยู่ของเจ้าจอม และไว้ใช้รับแขก
เรือนหลังนี้มีเรื่องเล่าว่าวันหนึ่ง ขณะที่ว่างจากงานในหน้าที่ ข้าราชการฝ่ายในกลุ่มหนึ่งเห็นว่าสถานที่หน้าเรือนเจ้าจอมก๊ก อ. เงียบสงบ เลยชวนกันมานั่งเล่นพักผ่อนกันในบริเวณสนามหญ้า ขณะกำลังคุยกันออกรส เสียงหัวเราะอาจจะดังไปหน่อยจู่ๆ มีน้ำมาจากไหนไม่รู้ เหมือนใครเทราดสาดลงมาจากข้างบน เสียงคุยเฮฮาเมื่อครู่เงียบกริบ...
เนื้อตัวเปียกปอนกันหมด แหงนดูข้างบนก็ไม่มีใคร เพราะเรือนนี้ถูกปล่อยร้างไม่มีใครอยู่มานานแล้ว เป็นเรื่องที่น่าประหลาด จับมือใครดมก็ไม่ได้ และเชื่อกันว่าเจ้าของผลงานนี้ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว!
"พระที่นั่งที่รัชกาลที่ ๒ ทรงรัก"
พระที่นั่งสนามจันทร์ อยู่ในหมู่พระมหามณเฑียรติดกับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย หน้าหอพระธาตุมณเฑียร รัชกาลที่ ๒ ได้สร้างขึ้นเป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถยามว่างพระราชกิจ โดยลงมือสร้างด้วยพระองค์เองทั้งโครงสร้างและทรงเขียนลายไทยที่ตัวพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง (พระที่นั่งองค์เล็ก ข้างหน้าสุด)
การใช้งานนั้นเคยใช้สำหรับตั้งเครื่องนมัสการเครื่องราชสักการะ ตลอดจนเครื่องสังเวยต่างๆ เวลามีงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ทราบมาว่าพระที่นั่งองค์นี้ รัชกาลที่ ๒ ทรงโปรดปรานมาก มาในสมัยปัจจุบันได้มีการซ่อมไฟฟ้าในพระบรมมหาราชวังบริเวณแถบพระมหามณเฑียร และทั้งๆ ที่พนักงานในวังก็ได้บอกกับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าไปแล้วว่า ห้ามไปนั่งเล่นบนศาลานี้เด็ดขาด เพราะเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ ๒ แต่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าอาจจะลืมคำเตือนหรืออาจจะไม่เชื่อ จึงขึ้นไปนั่งเล่นนอนเล่นกันอย่างสบายบนพระที่นั่งหลังนี้
หลังจากซ่อมไฟเสร็จขับรถออกจากวังก็เกิดอุบัติเหตุ ถูกรถใหญ่วิ่งมาชนรถของการไฟฟ้าตายเรียบทั้งคัน! ในเวลานี้จึงต้องมีเชือกกั้นพร้อมป้าย"ห้ามนั่ง" เพื่อกันไม่ให้ผู้ใดเข้าไปนั่งเล่นอีก เพราะถือเป็นของสูงที่มิควรก้าวล่วง แต่หากใครคิดลองของ...อาจเจอของจริง แบบเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าชุดนี้ก็เป็นได้...!!!
เป็นยังไงบ้างครับเพื่อนๆ สนุกมั๊ยครับ ได้ความรุ้เล็กๆ น้อยเกี่ยวกับเจ้านายในวังติดไปด้วย สำหรับคนที่ชอบเรื่องเล่าแบบนี้ก็คงชอบนะครับ ถึงแม้กาลเวลาผ่านไปนานสักเพียงไหน หากสิ่งที่มีคุณค่าแก่การจดจำยังเล่าต่อรุ่นสู่รุ่น สิ่งดีๆ เหล่านั้นก็จะไม่หายไปกับกาลเวลา แล้วพบกันใหม่ครับ.....mata