ตำนาน และที่มา แหวนแต่งงาน
ตามตำนานและประวัติศาสตร์ที่มีมาช้านาน ต่างเชื่อกันว่าการสวมแหวนที่นิ้วนาง
จะทำให้แหวนนั้นดลอำนาจของความรักผ่าน สู่หัวใจของผู้สวมใส่ได้และแหวนแต่งงาน
ก็เปรียบเสมือนตัวแทนคำสัญญาความรัก และ ความมั่นคง เป็นเครื่องประดับติดตัวชิ้นเดียว
ที่มีคุณค่าผูกพันจิตใจกับหญิงสาวแต่ก่อน คู่หนุ่มสาวจะใช้เถาวัลย์ตามธรรมชาตินำมาผูกติดกับนิ้ว
เพื่อแสดงถึงความรัก จนกลายเป็นประเพณีของชาวโรมันและชาวอังกฤษที่จะนำโลหะที่มีค่าที่สุด
ของแต่ละยุคสมัยมาใช้สวมให้กับเจ้าสาว ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีตั้งแต่สมัยโบราณแหวนหมั้น
ที่ใช้กันของคู่บ่าวสาวนั้นทำมาจากเหล็กธรรมดา
ตามตำนานเชื่อว่าแหวนเหล่านี้เกิดจากเทพเจ้าโพรเมธูส(Prometheus)
ตีเหล็กขึ้นมาเป็นแหวนให้กับเหล่ามนุษย์ที่ไม่มีรักต่อมาแหวนที่ชาวโรมันให้กันนั้น
ก็กลายเป็นทองคำทรงกลม ซึ่งแสดงถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความเป็นนิรันดร์
อีกทั้งเป็นการปฏิญาณต่อสาธารณชนว่าสัญญาสมรสของคู่บ่าวสาวจะได้รับการปฏิบัติ
และถนอมไว้ตราบนานเท่านาน ตราบจนปัจจุบันด้วยคุณค่าความงานอมตะ
ทำให้แหวนทองคำเป็นสัญลักษณ์ของประเพณีการแต่งงานที่ทรงความมหัศจรรย์คงอยู่กับเจ้าสาวตลอดกาล
จนถึงศตวรรษที่ 15 แหวนอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและซื่อสัตย์
โดยใช้อัญมณีที่แกร่งที่สุดนั่นก็คือ เพชร
เพชรถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย คุณค่าของเพชรในยุคสมัยนั้นมิใช่แค่ความงดงามจากภายนอก
แต่เป็นเพราะความวิเศษแห่งอาคมขลังซึ่งเชื่อกันว่าเพชรสามารถป้องกันภัยจาก
อสรพิษ ไฟ ยาพิษ ความป่วยไข้ การโจรกรรม ตลอดจนพลังแห่งความเลวร้ายทั้งปวง
ดังนั้นคำว่า Diamond นี้ จึงมีรากศัพท์มาจากคำว่า Adamas ในภาษากรีก
ซึ่งแปลว่าไม่อาจเอาชนะได้กลายเป็นสัญลักษณ์สากลแห่งรักที่ยั่งยืน
ตำนานของเพชรจึงได้เริ่มต้นและเล่าขานตกทอดกันนับแต่บัดนั้นมา
ซ้ำขออภัยค่ะ