ที่มาของ ลอตเตอรรี่
เรื่องของหวย ซึ่งอยากจะเรียกว่าเป็นต้นตระกูลของล๊อตเตอรี
หรือสลากกินแบ่งรัฐบาลในปัจจุบัน ตั้งต้นจากประเทศจีนมาก่อน คือราว พ.ศ.๒๓๖๔- ๒๓๗๘
เรียกว่า ฮวยหวย เกิดขึ้นมาไม่นาน ก็แพร่หลายเข้ามาเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ ๓
เมื่อราว พ.ศ.๒๓๗๘
จากพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทำให้ทราบว่า เหตุที่หวยแพร่หลายเข้ามาในไทยก็เพราะ เมื่อปี๒๓๗๕ ข้าวขาดแคลน
มีราคาแพงมาก ทำให้ต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศเข้ามา
แต่คนไม่มีเงินต้องมารับจ้างทำงาน โดยคิดเอาข้าวเป็นค่าจ้าง
เจ้าภาษีนายอากรก็ไม่มีเงินจะส่ง ต้องเอาสินค้ามาใช้ค่าเงินหลวงแทน
รัชกาลที่สาม ทรงมีพระราชดำริว่าเงินหายไปหมดสงสัยว่าจะเอาไปซื้อฝิ่นเก็บตุนไว้
จึงทรงสั่งให้เผาฝิ่นเสียให้หมด แต่ตัวเงินก็ยังไม่มีในตลาด จีนหง พระศรีไชยบาน
จึงกราบทูลว่า เงินที่หายไปนั้นส่วนใหญ่ก็เพราะราษฎรเอาไปฝังดินไว้เป็นจำนวนมาก
ไม่ยอมใช้จ่าย ถ้าเป็นอย่างนี้ที่เมืองจีน แก้ปัญหาโดยการตั้งหวย
จึงโปรดเกล้าฯให้จีนหงตั้งหวยขึ้นมา
วิธีการเล่นหวยในจีนนั้นเขาทำแผ่นป้ายเล็กๆ
๓๔ ป้าย เขียนชื่อคนโบราณที่มีชื่อเสียง ลงไปป้ายละชื่อ เช่น สามหวย ง่วยโป๊
เป็นต้น ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้คงใส่ชื่อ เติ้งเสี่ยวผิง โกวเล้ง หรือเผลอๆอาจมี
เต้าหมิงซื่อ จ่ายไจ๋ อะไรทำนองนี้
เมื่อจะออกหวย
เจ้ามือจะเลือกป้ายขึ้นมาอันหนึ่งหรือชื่อหนึ่ง ใส่ลงในกระบอกไม้ปิดปากไว้
แล้วแขวนไว้กับหลังคาโรงหวย นักแทงทั้งหลายก็จะทายกันว่างวดนี้จะออกชื่อใครใน ๓๔
ป้ายนั้น ถ้าทายถูกเจ้ามือจ่าย ๓๐ ต่อ ถ้าทายผิด เจ้ามือก็กินเดิมพัน
ต่อมามีผู้คิดเพิ่มเติมตัวหวยขึ้นอีกสองตัว รวมเป็น ๓๖ ตัว แต่จ่าย ๓๐ต่อเหมือนเดิม
เพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆ และชัดเจน ตามโรงหวยในจีนเขาจึงมีการทำฉากไว้รอบๆโรงหวย
เขียนเครื่องหมายกำกับไว้ให้รู้จักสามแบบ คือ เขียนรูปภาพคน
ซึ่งสมมุติขึ้นเป็นตัวหวยอย่างหนึ่ง
เขียนหนังสือจีนกำกับบอกรูปภาพตัวหวยอีกอย่างหนึ่ง และ
เขียนรูปสัตว์ซึ่งสมมุติว่าเป็นชาติก่อนของตัวหวย (คิดได้ไงเนี่ย)
กำกับไว้ให้สังเกตอีกอย่างหนึ่ง
ทีนี้เมื่อเอาหวยมาเล่นในเมืองไทย
คนไทยอ่านหนังสือจีนไม่ออก พูดจีนก็ไม่ได้
เจ้าสัวหงก็เลยคิดเอาตัวอักษรไทยเข้ากำกับแทนหนังสือจีน อักษรไทยมี ๔๔ ตัว
ใช้เป็นตัวหวยเสีย ๓๖ ตัว เหลือที่ไม่ได้เอามาใช้ ๘ ตัว คือ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ศ และ ษ
จึงเรียกกันว่า หวย ก ข ต่อมาก็มีเรื่องมีราวกัน
(ซึ่งจะขอข้ามในรายละเอียดไปบ้างด้วยเกรงว่าจะยาวเกินไป) จนสุดท้ายตัดลงเหลือ ๓๔
ตัว คือตัดตัวหวยที่เกิดเรื่องออกสองตัว คือ ง.จีเกา กับ ธ.ไท้เผงออก
เจ้าหวย ก
ข นี่ ถือเป็นรายได้ของรัฐบาลอย่างหนึ่ง มีการประมูลกันทุกปี
ใครให้ค่าอากรสูงสุดคนนั้นก็ได้ (สัมปทาน)ไป เรียกว่าเป็น นายอากรหวย
ได้บรรดาศักดิ์เป็นขุนบานเบิกบุรีรัตน์ ( บางแห่งบอกว่าขุนพัฒน์ )
เป็นบรรดาศักดิ์รายปี คือ ปีไหนประมูลไม่ได้ บรรดาศักดิ์นี้ก็หลุดไปด้วย
ตอนที่เริ่มมีหวยกันใหม่ๆในสมัยรัชกาลที่ ๓ ค่าอากรหวยปีละ ๒ หมื่นบาท
ถึงรัชกาลที่ ๔ ขึ้นไปเป็นปีละ ๒ แสนบาท มาขึ้นสูงที่สุดในสมัยรัชกาลที่หก ปี๒๔๕๔
ค่าอากรหวยปีนั้น เป็นเงิน ๓,๘๔๙,๖๐๐ บาท และในปีสุดท้ายเมื่อจะเลิกหวย ก.ข.
เงินอากรหวยถึงปีละ ๓,๔๒๐,๐๐๐บาท
ค่าเงินสมัยนั้น
ไม่มีค่าของเงินแบบตรงๆปี
มีแต่ปีที่ใกล้เคียง ให้พอมองเห็นภาพว่าอากรหวยมหาศาลแค่ไหน คือ
ข้าราชการชั้นผู้น้อยในสมัยรัชกาลที่ ๕ เงินเดือนๆละ ๒๐-๓๐บาท
ซึ่งพอใช้สบายๆทั้งเดือน และมีเหลือเก็บได้ด้วย
จากหนังสือวชิรญาน ตอน ๑ เล่ม ๔
มกราคม ร.ศ.๑๑๓ ( พ.ศ. ๒๔๓๗ ) เล่าถึงรายได้ของเจ๊กลากรถและคนแจวเรือจ้างว่า
ได้อย่างสูงวันละราว ๕ สลึงถึง ๖ สลึง อย่างต่ำ สลึงถึงสองสลึง โดยมีรายจ่ายคือ
ค่าช่ารถลาก กลางวันและกลางคืน กะละ ๑ เฟื้อง ค่ากินสามมื้อ ๑ เฟื้อง
ค่าเช่าห้องอยู่รวมกับเพื่อน คนละสลึงต่อเดือน เบ็ดเสร็จก็พอมีเหลือสิ้นเดือนบ้าง
คนแจวเรือจ้าง ได้เงินวันละ หนึ่งบาทห้าสลึง ค่าเช่าเรือค่าท่าวันละสองเฟื้อง
อย่างต่ำก็ได้เดือนละ ๑๐ บาท อย่างสูง ๑๔-๑๕บาท
ส่วนราคาสินค้าในช่วงต้นรัชกาลที่ ๕ คือราวปี ๒๔๑๗ ประมาณค่าข้าวสารถังละ
สองสลึง ปี๒๔๗๗ ข้าวสารอย่างดีถังละ ๗๕ สตางค์ ธรรมดา ๕๐ สตางค์ ข้าวแกงราคา ๑-๒
สตางค์)
บรรยากาศการเล่นหวย
เมื่อเริ่มแรกนั้นโรงหวยอยู่ใกล้ๆสะพานหัน
ออกหวยตอนเช้าวันละครั้ง ต่อมามีผู้ขอตั้งโรงหวยอีกแห่งหนึ่งที่บางลำพู
ออกหวยวันละครั้งเหมือนกัน แต่เป็นเวลาค่ำ หวยจึงมีสองโรง ออกเช้าที ค่ำที
ต่อมาพวกโรงหวยภาคค่ำ ทำงานไม่เรียบร้อยเลยยุบไปรวมกันที่สะพานหัน
แต่ก็ยังออกวันละสองเวลาเหมือนเดิม และคนก็ยังเรียกหวยโรงเช้าหวยโรงค่ำอยู่ดังเก่า
จะข้ามวิธีการแทงหวยไปที่เงินเดิมพันในแต่ละวันเลยดีกว่า
มีหลักฐานว่าหวยโรงเช้าเคยได้วันละ ๓๐,๐๐๐บาท หวยโรงค่ำราว ๑๐,๐๐๐บาท
รวมกันก็ตกราววันละสี่หมื่นบาท ถ้าเป็นวันตรุษจีน เดิมพันจะมาขึ้นถึงราว๖๐,๐๐๐บาท
วันออกพรรษาคือ ๑๔ และ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ จะขึ้นถึงวันละ๑๒๐,๐๐๐บาท ถึง ๑๔๐,๐๐๐บาท (
ดูเอา วันทางศาสนากับอบายมุขเกี่ยวกันมั้ยเนี่ย )
เจ้าหวยก ข นี่เล่นกันอยู่ถึง
๘๑ ปี มายกเลิกในสมัยรัชกาลที่หก เมื่อปี ๒๔๕๙
เป็นการพนันที่ทั้งคนจนคนรวยต่างเสมอภาคในการลุ่มหลง หมกมุ่นกันถ้วนหน้า
มีเงินทองเท่าไหร่ก็ไหลลงกระบอกไม้ไผ่ป้ายหวยกันหมด พร้อมใจกันจนลงเรื่อยๆ
รัฐบาลเองก็เห็นผลร้ายที่ว่า พยายามเลิกอยู่หลายรัชกาล แต่ไม่สำเร็จได้ง่ายๆ
เพราะเป็นอากรรายได้สำคัญอย่างหนึ่ง ( เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่มั้ง )
ถ้าจะยกเลิกก็ต้องหารายได้อย่างอื่นมาชดเชย
ความดำรินี้จึงรีรอเรื่อยมา
เรื่องของความบ้าหวย (
ซึ่งยังเป็นมรดกสืบทอดมาจนปัจจุบัน ) มีถึงขนาดที่ว่ายามหลับก็ฝัน แล้วเอาตีเป็นหวย
ยามตื่นเห็นอะไร ก็ตีเป็นหวยอีกเช่นกัน เรียกว่าการทำมาหากินตามปกติเป็นงานอดิเรก
แต่การตีหวยนี่เป็นอาชีพหลัก ขะมักเขม้นเจริญภาวนาเรื่องหวยกันทั้งยามหลับยามตื่น
อย่างว่า เมื่อมีปริศนาจากการฝัน หรืออะไรก็ได้ยามตื่น
ก็ย่อมต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่จะตีความ จึงเกิดเจ้าพ่อเจ้าแม่เกจิอาจารย์ใบ้ห้วย
ตีความทำนายฝัน ทายนิมิตกันแพร่หลาย ผิดมั่งถูกมั่ง ก็มันมีแต่ ๓๔
ตัวก็ต้องมีถูกบ้างนั่นแหละ แต่ที่สำคัญคือ ถ้าคนแทงหวยแทงผิด
แทนที่จะไปเฉ่งอาจารย์ใบ้หวย
กลับโทษตัวเองซะนี่ว่าตีความหมายอันลึกซึ้งของอาจารย์ผิดไปเอง เวรแท้ๆ
สมัยนั้นคนดีๆที่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้บางทีก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
อย่างเช่นพระสงฆ์ที่มีคนนับถือกันมากๆ ถ้าทำอะไรผิดแผกไปบ้าง
ก็จะมีคนเข้าใจว่าท่านใบ้หวยเป็นทานไปเสียอีก
มีเรื่องเล่าว่าเคยมีพระราชาคณะองค์หนึ่ง แต่งวัดรับกฐินเสด็จฯ
เอาตุ๊กตารูปช้างมาตั้งรายกำแพงแก้ว พวกที่ไปกฐินวันนั้น จึงพากันเอาไปแทงหวย
และดันถูกเสียอีก
อีกครั้งหนึ่ง...พระครูซึ่งเป็นที่เลื่อมใสในทางวิปัสสนาธุระ
พวกนักเลงหวยไปพูดจาเลียบๆเคียงๆท่าน ท่านก็สนทนาโดยซื่อ ไม่ทราบว่าเขาขอหวย
หลังจากตีความประสานักเลงหวยกันแล้วก็ไปแทง ดันถูก คราวนี้เลยร่ำลือกันไปใหญ่
ผู้คนแห่แหนกันมาขอหวย ท่านพระครูจะพูดอะไร จะจับอะไร ก็เอาไปตีเป็นหวยกันหมด
ตอนหลังท่านทราบก็ขัดใจ ใครมาทำนองนี้ท่านก็ไล่ไปจากกุฎิ
คนโดนไล่ก็ดันอุตริคิดว่าเป็นปริศนาธรรมใบ้หวยว่า ล.ฬ.เสียอีก ก็เลยไม่เลิกรากัน
ในที่สุดพระครูฉวยเอาพลองจะขู่ให้กลัว ก็ยังคิดว่าท่านใบ้หวย ตัวผ.พ.ภ
สุดท้ายท่านจึงปิดกุฏิลั่นดาลไม่รับแขก
พวกลูกศิษย์ต้องออกโรงห้ามปรามและขอร้องประชาชนชาวหวยนั่นแหละ จึงได้เลิกรากันไป
อ่านดูแล้วเรื่องพวกนี้ยังไม่เก่าซักเท่าไหร่เลย สมัยนี้ก็ยังพบเห็นกันได้อยู่
การพนันกับการขาดสติ มันของคู่กันอยู่แล้ว ตาดีก็เหมือนตาบอด
มองอะไรไม่เห็นนอกจากกระบอกไม่ไผ่ ๓๔ อัน ผู้ที่มีแนวคิดเรื่องหวยบนดิน
บ่อนคาสิโนก็พิจารณาเอาแล้วกัน ประวัติศาสตร์จำลองภาพให้เห็นแล้ว
ว่าผลพวงมันตามมาอย่างไรบ้าง ถ้าเอาไปทายอนาคต รับรองว่าแม่นดั่งจับวาง
และเชื่อเถอะว่ามาตรการทางกฏหมายอะไรก็ป้องกันความละโมภของคนไม่ได้ นักพนัน
เจ้าของบ่อนนี่แหละ หัวครีเอทีฟของแท้ คนปกติตามทันยาก สวัสดี.
ปฏิบถ เขียนและเรียบเรียง
พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อมูล : หนังสือ
พระราชประเพณีและประเพณีชาวบ้าน โดย ประยุทธ สิทธิพันธ์
ที่มาจาก
http://www.bondinonline.com/forums/index.php?topic=200.0