เธอชื่อ คิม ฟุค
เรื่องราวของชีวิตเธอน่าสนใจดี อยากให้ทุกคนที่มีความโกรธเกลียดต่อกันได้อ่าน... รวมถึงคนไทยทั้งหลาย ทุกสี ทุกคนควรจะได้รับรู้เรื่องราวของเธอ ลืมเหตุการณ์แย่ๆ และความเลวร้ายทั้งหลายที่เคยผ่านมา ขอให้ทุกคนลืมมัน และเลิกเกลียดชังกันเอง เพราะมันเป็นการบ่มเพาะความโกรธเกลียดภายในใจ ซึ่งส่งผลร้ายต่อจิตใจของตนเอง ขอให้ชาวไทยทุกๆ คน เลิกแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสีต่อไป และหันหน้ามารักใคร่ปรองกันเถอะนะค่ะ เพื่อความสงบสุขของเราทุกคน...
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...
God Bless You. ความโกรธแค้น ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย
เธอ ชื่อ “คิม ฟุค”
(Kim Phuc is Her Name)
แปลว่า “ความสุขดุจทองคำ”
(Golden Happiness)
เบื้องหน้าของ คิม ฟุค
เบื้องหลังของ คิม ฟุค
เบื้องหลังผ่าตัดแล้ว ๑๗ ครั้ง ขณะที่ลูกพี่ลูกน้อง ๒ คนตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
เธอเกิดที่ Trang Bang ตะวันตกเฉียงเหนือกรุงไซ่ง่อนในเวียตนามใต้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖
เวลา บ่าย ๒ โมง วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ ระเบิดไฟนาปาล์ม ๔ ลูก ถูกทิ้งลงที่บ้านเธอ
ขณะนั้น คิม ฟุค มีอายุ ๙ ขวบ ระเบิดเพลิงตกใส่เธอ เธอถอดเสื้อผ้าที่ไฟกำลังลุกออกแต่ไฟยังคงไหม้บนตัวเธอ
ผู้คนช่วย ราดน้ำบนตัวเธอ เพื่อดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนตัวเธอ เธอหมดสติไป
Huynh Cong ( Nick ) Ut ช่างภาพ ช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาล คอยให้กำลังใจ และจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ
ภาพของเธอ ที่ Nick Ut ถ่ายไว้ ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกและได้รับรางวัล Pulitzer ในปีถัดมาคือ พ.ศ. ๒๕๑๖
ด้วยรางวัลดังกล่าวช่วยเปลี่ยนชีวิตของเธอและ Nick Ut แต่เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลไฟไหม้กว่าครึ่งตัว หมอศัลยกรรมพลาสติค Dr. Mark Gorney จาก San Francisco อาสาสมัครประจำอยู่ที่ โรงพยาบาลศัลยกรรมเด็ก Barksy ในกรุงไซ่ง่อนกล่าว ว่า “สภาพของเธอไม่น่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้” ตอนแรกคางของเธอเชื่อมติดกับหน้าอกโดยเนื้อเยื่อจากแผลเป็นแขนซ้ายของเธอไหม้จนถึงกระดูก “ด้วยความรักของแม่” ที่คอยดูแลอยู่ข้างเตียง เธอค่อยๆ ฟื้นตัวและตัดสินใจว่าโตขึ้นเธอจะเป็นหมอเหมือนผู้ที่ช่วยชีวิตเธอ หลังจากรักษาตัวอยู่ ๒ ปีเธอจึงได้กลับบ้าน และเวียดนามใต้ก็ถูกปกครองโดยคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ชื่อของ “กรุงไซ่ง่อน” ถูกเปลี่ยน “เป็นโฮจิมินห์”
๒๑ ปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๙ คิม ฟุค ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูด เนื่องในวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
เธอได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องทำใจได้ง่ายๆ แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง
คิม ฟุค เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอ แล้วเธอก็ได้เผยความในใจว่ามีเรื่องหนึ่ง ที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ
พูดมาถึงตรงนี้ ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่าคนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้เธอจึงเผยความในใจ ออกมาว่า “ฉันอยากบอกเขา ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ทั้งในปัจุบันและอนาคต”
เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอ ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง
เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ผมขอโทษ... ผมขอโทษจริงๆ”
คิมเข้าไปโอบกอดเขา แล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย... ฉันให้อภัย”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิมฟุคเล่าว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอ ทั้งกายและทั้งใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แล้ว เธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หากมันคือ “ความเกลียดชัง” ที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง
“ฉันพบว่า การบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้ สามารถฆ่าฉันได้”
เธอพยายามสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้ศัตรูผู้ที่ก่อความทุกข์ให้กับเธอ แล้วเธอก็พบว่า “หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด”
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คน ให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้
เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน
แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
คิมฟุคได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า
“ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันไม่ทำ ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น”
บทเรียนของคิมฟุค คือ
ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต
แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้
บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่ง ที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ
การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้เธอเห็นคุณค่าของการ “ให้อภัย”
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก FW Mail