หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ไขปริศนาการสร้างและเคลื่อนย้ายโมอาย

โพสท์โดย beeboyza
 ....เกาะอีสเตอร์(Easter Island) 

หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่าเกาะราปานุย (Rapa Nui) 
ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก 
อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี 
ซึ่งเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลี
กว่า 3,600 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก 
โลกรู้จักเกาะนี้ในนามว่า  “เกาะอีสเตอร์” (Easter  Island)  
เพราะชาวยุโรปไปค้นพบเข้าในวันอีสเตอร์
เมื่อปี  ค.ศ. 1722  
เกาะที่ใกล้เกาะอีสเตอร์มากที่สุด
อยู่ห่างฝั่งจากถึง 2,000 กิโลเมตร 
จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก 
ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก 
มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร 
มีความยาว 25 กิโลเมตร





background-clip: initial; background-color: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; ">
เรื่องราวของโมอาย (Moai) นับเป็นเรื่องลึกลับเรื่องนึง ซึ่งประเด็นอยู่ที่ตัวโมอายของนั่นเอง 
นั่นคือวิธีการสร้างและเคลื่อนย้าย 
วันนี้เราจะมานําเสนอประเด็นซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและสามารถพูดได้เต็มปากว่า 
"ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว!"
 
แท่งหินโมอายนั้นถูกสร้างในช่วงปี 1250 ถึง 1500 ของแท้ของจริงมีอยู่ที่เดียว คือที่เกาะ Easter Island หรือที่ชาวพื้นเมืองเชื้อสาย Polynesian เรียกกันว่า Rapa Nui (ราปานุย) 
ความเก๋าของเกาะนี้คือ มันตั้งอยู่ห่างไกลแผ่นดินอื่น (Tahiti และ Chile) ถึง 2,000 ไมล์ 
เรียกว่าอยู่กันแบบสันโดษไปเลย จนกระทั่งนักสำรวจชาวดัตช์นามว่า Jacob Roggeveen มาพบเข้า 
ในวันอีสเตอร์พอดิบพอดี (และนั่นคือที่มาของชื่อเกาะ) เมื่อปี 1722 
จึงเริ่มทำให้โมอายกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วพิภพในเวลาต่อมา หลายคนเข้าใจว่ามันมีแต่หัว 
แต่จริงๆ แล้วเขาสร้างมาทั้งตัว แต่ส่วนใหญ่ถูกดินกลบทับอยู่ ทำให้มีแต่ช่วงหัวที่โผล่ออกมาสู้ฟ้าดิน 
 

ความไม่ธรรมดาของโมอายนั้น เริ่มที่ขนาดมหึมาของมัน ที่บางแท่งสูงถึง 10 เมตร หนัก 80 กว่าตัน 
(มีการสำรวจพบบางแท่งที่ยังแกะไม่เสร็จ มีความสูงถึง 21 เมตร หนัก 270 ตัน !)
ประติมากรรมเหล่านี้แกะสลักจากหินปูนแข็งประกอบด้วยเถ้าลาวาจากภูเขาไฟอัดตัวกันเป็นก้อน หาได้จากยอดภูเขาไฟเตี้ยๆ ชื่อว่า ราโนรารากู (Rano Raraku) 
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ รูปสลักบางรูปจะมีผมจุกขนาดใหญ่สีแดงอยู่บนหัว แกะจากหินสโกเรียสีแดง (scoria) 
จุกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4 เมตร สูง 1.8 เมตร หนัก 11.5 ตัน
 แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่านี้มาก หินสีแดงนี้ได้จากเหมืองที่ปูนาเปา ซึ่งเป็นยอดภูเขาไฟเตี้ยๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

มีการพบอุปกรณ์แกะสลักที่เรียกกันว่า โตกิ (toki) ทิ้งอยู่ตามเหมืองหินที่ราโนรารากู คำว่าโตกิเป็นภาษาราปานุย (Rapa Nui) 
อันเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวเกาะอีสเตอร์ ใช้เรียกเครื่องมือประเภทผึ่งถากไม้หรือขวาน ทำจากหินบะซอลต์ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟ 
ลักษณะเป็นก้อนสีคล้ำอยู่ในหินปูนแข็ง (ที่เกิดจากเถ้าภูเขาไฟ) ซึ่งมีเนื้ออ่อนกว่า



 
มีรูปสลัก 394 รูปที่ยังแกะค้างทิ้งอยู่ตามเหมืองหิน แกะสลักไปแล้วมากน้อยต่างๆ กัน บ้างก็เพิ่งจะขึ้นโครงหน้าบนผิวของก้อนหิน 
ที่ใกล้เสร็จมีเพียงน้อยชิ้น ซึ่งก็เหลือเพียงตอกให้รูปสลักหลุดจากหน้าผาเท่านั้น บ้างก็นอนหงายอยู่ บ้างก็ตะแคงข้างหลบลึกเข้าไปในซอกหน้าผาดังซากศพในหลุม 
บางชิ้นก็ใกล้จะได้เวลาเคลื่อนย้ายโดยมีหินก้อนกลมๆ รับน้ำหนักไว้

 

 
 เมื่อปี 1970 ศาสตราจารย์มัลลอยเสนอว่าการเคลื่อนย้ายรูปปาโรนั้นเขาคงจะวางรูปให้คว่ำหน้าอยู่บนเลื่อนไม้ที่เป็นง่ามสองแฉก หนักประมาณ 5 ตัน แล้วเคลื่อนย้  ายไป                                       าญเสนอว่ารูปสลักส่วนใหญ่อาศัยเลื่อนชักลากไปบนลูกกลิ้งไม้ซุง

 
ดร. โจแอน ฟาน ทิลเบิร์ก นักโบราณคดีชาวอเมริกัน บันทึกเรื่องรูปสลัก 823 รูปของเกาะอีสเตอร์ไว้ว่ารูปแกะสลักรุ่นหลังๆ 
มีขนาดใหญ่มากขึ้นเป็นลำดับ ชิ้นใหญ่ที่สุดซึ่งยังไม่เสร็จและทิ้งค้างอยู่ในเหมืองหินนั้น หากทำเสร็จน่าจะยาวถึง 21 เมตร หนักประมาณ 200 ตัน 
รูปสลักเหล่านี้สร้างต่อเนื่องกันมาในช่วงเวลาหลายร้อยปี เพิ่งเลิกสร้างไปเมื่อราว 200 ปีก่อนชาวยุโรปพวกแรกจะไปถึงเกาะแห่งนี้ในคริสศตวรรษที่ 18

การยกรูปสลักขนาดใหญ่ขึ้นตั้งบนฐานนั้นเป็นงานใหญ่อีกเช่นกัน ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 
ศาสตราจารย์มัลลอยกับพวกชาวเกาะได้ทดลองยกรูปสลักหนัก 16 ตัน จำนวน 7รูปขึ้นตั้ง รูปสลักเหล่านี้อยู่ที่อาฮู อาคิวิ ทางทิศตะวันตกของเกาะ 
การทดลองช่วยชี้ให้เห็นว่ารูปสลักขนาดใหญ่ที่สุดสามารถยกตั้งขึ้นที่บริเวณชายฝั่งทางทิศเหนือได้อย่างไร
 
เกาะอีสเตอร์มีรูปสลักหินซึ่งเรียกกันว่า ปาโร (Paro) รูปใหญ่ที่สุดนั้นปัจจุบันเป็นซากปรักหักตกอยู่หน้าอาฮูที่รูปเคยตั้งอยู่ รูปนี้สูง 9.8 เมตร หนักประมาณ 82 ตัน ศาสตราจารย์วิลเลียม มัลลอย แห่งมหาวิทยาลัยไวโอมิง ประมาณว่าคงต้องใช้ช่าง 30 คนสลักเป็นเวลาประมาณ 1 ปี และใช้แรงงานคน 90 คน เป็นเวลา 2 เดือนเพื่อเคลื่อนย้ายรูปสลักจากเหมืองมาถึงชายฝั่งมหาสมุทร รวมระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร และคงต้องใช้แรงงานคนอีกประมาณ 90 คนเป็นเวลาอีก 3 เดือนเพื่อตั้งรูปนี้ขึ้นบนฐาน ส่วนที่เป็นผมจุกซึ่งสูง 1.8 และหนัก 11 ตันนั้น คงกลิ้งมาจากเหมืองหินปูนาเปา วึ่งอยู่ห่างออกไป 13 กิโลเมตร





เกาะอีสเตอร์(Easter Island) 

หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่าเกาะราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี 
ซึ่งเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก โลกรู้จักเกาะนี้ในนามว่า  “เกาะอีสเตอร์”  (Easter  Island)  
เพราะชาวยุโรปไปค้นพบเข้าในวันอีสเตอร์เมื่อปี  ค.ศ. 1722  

เกาะที่ใกล้เกาะอีสเตอร์มากที่สุดอยู่ห่างฝั่งจากถึง 2,000 กิโลเมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก 
ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร






สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเกาะนี้ ชนิดที่ว่าเอ่ยถึงเกาะอีสเตอร์เป็นต้องนึกถึงสิ่งนี้ 
ก็คือแท่งหินขนาดยักษ์ แกะสลักเป็นรูปหน้าคน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของโมอาย 


....รูปสลักโมอาย (Moai Statues)

   โมอายเป็นรูปสลักหินขนาดมหึมา
จำนวนหลายร้อยรูป
ตั้งตระหง่านเงื้อมอยู่บนเกาะเล็ก
ขนาดเพียง  160  ตร.กม.  ในมหาสมุทรแปซิฟิก  
รูปสลักเหล่านี้บ้างตั้งอยู่บนฐานหิน  
บ้างจมเกือบมิดอยู่ใต้ดินบ้างก็ล้มเกะระกะ 




การพบรูปสลักหินซึ่งชาวเกาะโพลินีเซียขนานนามกันว่า  โมอาย  (moai)   นี้อยู่ตามถนนหนทางเก่าแก่อยู่บ้าง  
แต่รูปสลักนี้ที่จริงสร้างขึ้นเพื่อประดับ  อาฮู  (ahu)   อันเป็นศาลเทพเจ้าซึ่งตั้งอยู่ตามแถบชายฝั่งมหาสมุทร  
จวบจนทุกวันนี้มีการค้นพบ  อาฮูทั้งหมด  239  แห่ง  มีลักษณะเป็นฐานหินขนาดใหญ่ บางชิ้นยาวถึง 60 ม. 
บางแห่งเป็นที่ตั้งของสุสานด้วย  ศพจะวางทิ้งไว้บน  อาฮู จนเหลือแต่โครงกระดูก  จากนั้นจึงนำเอากระดูกบรรจุในช่องใต้ฐานหินนี้

DSC_4341
ภาพบนคืออาฮู (แท่นบูชา) ทองการิกิ ริมหาดหินทางตอนใต้ของเกาะอีสเตอร์ 
สังเกตว่าโมอายบนอาฮูทุกแห่งจะหันหน้ามองเข้าสู่กลางเกาะเสมอ   

 ....รูปสลักหินขนาดมหึมาบนเกาะอีสเตอร์นี้
มีจำนวนประมาณ  1,000  รูป  
มีขนาดสูงตั้งแต่  1  ม.จนถึง 21 ม.  
และคงจะเป็นรูปของหัวหน้าเผ่าที่มีชื่อเสียง  
หรือรูปของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับของชาวเกาะ
ผู้ที่สร้างชื่อเหล่านี้ขึ้น


        รูปสลักสูง  9.8  ม.  ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่พบบน  อาฮู  นั้น  
ปัจจุบันอยู่ในสภาพหักพังกองอยู่กับพื้นดินในลักษณะที่บ่งให้รู้ว่าถูกผลักหล่นลงมาจาก  อาฮู  ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดทราบถึงสาเหตุ  
สันนิษฐานกันว่ารูปสลักแต่ละรูปนั้นคงจะต้องใช้แรงงานคนประมาณ  90  คน และใช้เวลาถึง  18  เดือนในการแกะสลักและนำไปตั้งเข้าที่

ประติมากรรมเหล่านี้แกะสลักจากหินปูนแข็งประกอบด้วยเถ้าลาวาจากภูเขาไฟอัดตัวกันเป็นก้อน  
หาได้จากยอดภูเขาไฟเตี้ยๆ ชื่อว่า  “ราโนรารากู”  (Rano  Raraku)  ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ  


]....รูปสลักบางรูปจะมี  “ผมจุก”  
ขนาดใหญ่สีแดงอยู่บนหัว  
แกะจากหินสโกเรียสีแดง  (scoria)   
จุกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4  ม.  
สูง  1.8  ม.  หนัก 11.5  ตัน  
แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่านี้มาก  
หินสีแดงนี้ได้จากเหมืองที่ปูนาเปา  
ซึ่งเป็นยอดภูเขาไฟเตี้ยๆ  
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้



        นับตั้งแต่ที่ชาวตะวันตกรู้จักเกาะอีสเตอร์เป็นต้นมา  เกาะแห่งนี้ก็ไม่เคยมีประชาชนเกิน  4,000  คน  
แต่ในสมัยโบราณจำนวนประชากรสูงกว่านี้มาก  รูปสลักบนเกาะแห่งนี้ไม่มีรอยตำหนิใด ๆ  ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการขนย้าย 
แสดงว่าคงต้องมีเครื่องห่อหุ้มที่ทำจากไม้ปกป้องอยู่ขณะเคลื่อนย้าย  
แม้ว่าปัจจุบันแทบจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้เห็น  แต่ก็มีหลักฐานว่าแถบนี้เคยมีป่าไม้หนาทึบมาก่อน  
จึงน่าจะมีไม้ใช้ทำเลื่อนเพื่อการเคลื่อนย้ายอย่างมากมาย


        เกาะอีสเตอร์เป็นเกาะที่อยู่สุดทางทิศตะวันออกของบรรดาหมู่เกาะโพลินีเชีย  
ปัจจุบันมีประชากรประมาณ  1,600  คน  เป็นแหล่งภูเขาไฟมาแต่เดิม
เช่นเดียวกับเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
    
    

 

จุดเด่นของเกาะแห่งนี้คือรูปหินสลักขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงรายริมชายฝั่งและกระจัดกระจายรอบ ๆ ภูเขาไฟ  

รูปสลักเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “โมอาย” (Moai)


 

หุ่นหินเหล่านี้มีมากมายถึง 887 ตัว  มีทั้งอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดี และสภาพที่ยังแกะสลักไม่เสร็จ  บางตัวมีน้ำหนักถึง 80 ตัน และสูงถึง 33 ฟุต

 เห็นสาวน้อยกำลังรำระบำชาวเกาะไหมครับ

เชื่อว่ารูปสลักเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1000 ถึง 1650   ประมาณ 1 ใน 4 ถูกวางตั้งไว้บนฐาน  

การเคลื่อนย้ายหุ่นขนาดยักษ์เช่นนี้ทำได้ยากและใช้เวลามาก  ส่วนที่เหลือจึงยังอยู่ที่เดิมที่สร้างไว้แต่แรก

หรืออยู่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายมาวางตั้งที่ฐาน




ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย, เว็บไซท์ฟิสิกส์ราชมงคล,
ภาพจาก http://web.singnet.com.sg http://web.singnet.com.sg,www.featurecontact.com/
http://cherokee.exteen.com/20080507/entry
http://lonesomebabe.wordpress.com/2009/08/24/ไขปริศนาการสร้างและเคล/
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
beeboyza's profile


โพสท์โดย: beeboyza
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
240 VOTES (4/5 จาก 60 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
บ้านร้างในญี่ปุ่น " พุ่งเกือบ 4 ล้านหลัง "จ็อฟฟรีย์ เป็นตัวละครที่ " คนเกลี่ยดที่สุดในโลก "เลขเด็ดคุณไก่ วุฒินันท์ สอนศรี งวด 2 พฤษภาคม 2567เลขเด็ดวันแรงงาน เลขไหนดัง เลขไหนเข้า มาเช็คกันก่อนลุ้นรางวัลเลย!!!"เจี๊ยบ พิจิตตรา" โพสต์แคปชั่นสุดจี๊ดลงไอจี..ตัวตึงแบบนี้ ไม่มีแผ่วเลย!งูเหลือมยักษ์ซุกตัวอยู่ในรถแท็กซี่คอหวยคึกคัก! แห่ปิดทองยอดฉัตรหลังคาโบสถ์วัดดังเมืองคอน-ส่องเลขเด็ดทะเบียนรถบรรทุกวันนี้หวยออก "มนต์สิทธิ์" เผยเลขเด็ดเน้นๆ..รีบไปซื้อก่อนเกลี้ยงแผงแผ่นหินปูถนนที่ทำเป็นป้ายบอกทาง ไปซ่องโสlภณีในเมืองปอมเปอี ?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"เจี๊ยบ พิจิตตรา" โพสต์แคปชั่นสุดจี๊ดลงไอจี..ตัวตึงแบบนี้ ไม่มีแผ่วเลย!บ้านร้างในญี่ปุ่น " พุ่งเกือบ 4 ล้านหลัง "Pick a card ไพ่อยากจะบอกอะไรคุณ อ.หมอเจี๊ยบทาร็อต อ่านใจด้วยไพ่ยิปซีรู้มั๊ย? ทำไม"แม่น้ำสาละวิน"ถึงเย็นตลอดปี
ตั้งกระทู้ใหม่