ความบังเอิญสู่ความอร่อย
ภาพประกอบจะดทำโดยคุณ cheesevibes
แต่ถ้าคุณ เป็นคนที่หลงใหลในอาหาร
บลูชีส นั้นแสดงถึงรสชาติ ที่มีความซับซ้อน ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักชีสชนิดนี้ให้มากขึ้น
ตั้งแต่ต้นกำเนิด ชนิดต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีเลือกกินให้ถูกใจ
ต้นกำเนิดจากความบังเอิญ
เรื่องราวของบลูชีสย้อนกลับไปในหมู่บ้าน Roquefort ประเทศฝรั่งเศส มีตำนานเล่าว่า ชายเลี้ยงแกะคนหนึ่งได้เก็บขนมปังและชีสไว้ในถ้ำ แล้วลืมมันไปหลายเดือน เมื่อเขากลับมาอีกครั้งก็พบว่าชีสมีเส้นราสีเขียวอมน้ำเงินขึ้นเต็มไปหมด ด้วยความกล้าเขาจึงลองชิมดู และสัมผัสได้ถึงรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อมกว่าชีสปกติ
ความบังเอิญครั้งนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตบลูชีสอย่างจริงจังมาจนถึงทุกวันนี้
บลูชีสนิยมบ่มในถ้ำหินปูนที่เกิดขึ้นตาม
ธรรมชาติ ซึ่งมีสภาพอากาศเย็นและมีความชื้นพอเหมาะ เชื้อราที่ใช้ในการทำบลูชีสคือ
Penicillium roqueforti และ
Penicillium glaucum
ซึ่งปลอดภัยต่อการบริโภค นี่เป็นปัจจัยสำคัญ การสร้างรสชาติที่มีมิติซับซ้อน ความบังเอิญที่นำไปสู่ความอร่อยที่คาดไม่ถึง ได้กลายเป็นวัฒนธรรมการผลิตที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก
บลูชีสมีกี่ชนิด?
บลูชีสสามารถแบ่งออกได้ตามสายพันธุ์ ภูมิประเทศ และวัตถุดิบที่ใช้ทำ ตั้งแต่รสชาติอ่อนไปจนถึงรสชาติจัดจ้านที่สุด ที่ได้รับความนิยมในระดับโลก
Roquefort (ฝรั่งเศส): ทำจากนมแกะและบ่มในถ้ำ Roquefort-sur-Soulzon มีกลิ่นแรง รสชาติเค็มและเข้มข้น เนื้อค่อนข้างชื้นและร่วน
Gorgonzola (อิตาลี): ทำจากนมวัว มีสองแบบคือ Dolce (นุ่ม หวาน มัน) และ Piccante (รสจัด กลิ่นแรง) เนื้อสัมผัสเป็นครีมมากกว่าชนิดอื่น จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
Stilton (อังกฤษ): ทำจากนมวัว เนื้อแน่น รสชาติกลมกล่อม กลิ่นไม่แรงเท่า Roquefort ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชาแห่งชีสอังกฤษ”
Cabrales (สเปน): ทำจากนมผสมทั้งวัว แกะ และแพะ บ่มในถ้ำหินปูน มีกลิ่นแรงมาก รสเค็มและซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรสชาติจัดเต็ม
Danish Blue หรือ Danablu (เดนมาร์ก): ทำจากนมวัว เนื้อแน่น รสออกเค็มและเป็นครีม เป็นบลูชีสยอดนิยมที่นำไปใช้ในซอสหรือโรยสลัด
นอกจากนี้ยังมีบลูชีสท้องถิ่นอีกมากมาย
เช่น Bleu d’Auvergne (ฝรั่งเศส) Fourme d’Ambert (ฝรั่งเศส) ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ประโยชน์และข้อควรระวัง
บลูชีสอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน K2 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างและบำรุงรักษากระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบลูชีสมีโซเดียมและไขมันสูง จึงควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
วิธีเก็บรักษาและคู่กับอะไรถึงจะอร่อย?
บลูชีสควรเก็บในตู้เย็นโดยห่อด้วยกระดาษไขหรือกระดาษห่อชีส ไม่ควรใช้พลาสติกเพราะจะทำให้ความชื้นสะสมและชีสหายใจไม่ได้
สำหรับวิธีทานให้อร่อยที่สุด บลูชีสแต่ละชนิดมีรสสัมผัสที่แตกต่างกันไป ดังนี้
Roquefort: เข้ากันได้ดีกับผลไม้หวาน เช่น ลูกแพร์และองุ่น หรือทานคู่กับไวน์แดง เช่น Sauternes หรือ Port
Gorgonzola: แบบ Dolce เหมาะกับแครกเกอร์และไวน์ขาว ส่วนแบบ Piccante เข้ากันได้ดีกับเนื้อสเต็กหรือทานกับวอลนัท
Stilton: นิยมทานคู่กับพอร์ตไวน์ และเหมาะสำหรับทำซอสพาสต้า
Cabrales: สามารถทานเดี่ยว ๆ หรือทานคู่กับผลไม้รสหวานอย่างแอปเปิลก็ได้
แล้วคุณละอยากลองรับประทานชีส ที่มีราขึ้นสักครั้งไหม
บรรณานุกรม (References)
BBC Good Food. Glossary. (Accessed September 2025).
Britannica. Blue Cheese. (Accessed September 2025
cheese
Cheese.com. Blue Cheese. (Accessed September 2025)
Healthline. Blue Cheese. (Accessed September 2025).
blue-cheese-is-made-591563)
Roquefort.fr. (Accessed September 2025)..
วิเคราะห์หวยงวดวันที่ 2 มกราคม 69 โดยใช้ AI..เลขไหนมีสิทธิ์ถูกรางวัล
10 พรรณไม้สวยพิษร้าย: ความงดงามที่ต้องแลกด้วยอันตรายถึงชีวิต
5 จอมโจรขมังเวทแห่งที่ราบสูง: ตำนานเสือร้ายภาคอีสานที่โลกต้องจดจำ
เจ้าของบริษัทขายกิจการ แจกโบนัสพนักงานคนละ 443,000 ดอลลาร์
เปิดตำนานอาถรรพ์ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" แห่งวัดกุฎีดาว: ความลี้ลับที่อยู่คู่แผ่นดินอยุธยา
เปิดแฟ้มลับ 5 อันดับคดีมนต์ดำสะเทือนราชสำนักไทย
"ซินแสดัง" เผยดวงเมืองประเทศไทย ปี 2569..ยิ่งรบ ยิ่งแข็งแกร่ง ศัตรูแพ้ราบคาบ
ใครที่ยังตั้งรหัสผ่านง่ายๆ รีบเปลี่ยนด่วน! เพราะไม่ปลอดภัยอาจโดนเจาะได้
ปิดตำนานรถ EV ราคาถูก ทิ้งลูกค้า, ดีลเลอร์ หอบเงินจากภาครัฐฯ กลับจีนหน้าตาเฉย
เซียนหวยคึกคัก ม้าสีหมอกปล่อยแนวทางเลขเด็ด งวด 2 มกราคม 2568
บุรีรัมย์เดือด! ศึกชิงเก้าอี้ สส. วันแรกคึกคัก 'ไหม ศิริกัญญา' บุกถิ่นพรรคสีน้ำเงิน ท้าชนกลุ่มอำนาจเดิม
หลังหยุดยิง จีนบริจาคเงินและของให้เขมร มูลค่า 20 ล้านหยวน
พระสงษ์ชาวเวียดนาม ผู้เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องศาสนา



