หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เมื่อสายลมรักพัดผ่าน

เนื้อหาโดย อักษราลัย

บางรัก...พัดมาเพียงชั่วครู่ แต่ทิ้งแรงสั่นไหวไปชั่วชีวิต

บางคน...ไม่เคยเป็นของเรา แต่ยังอยู่ในทุกลมหายใจ

ไม่ใช่ทุกคน...ที่จะได้เดินเคียงกัน

บางคน...มีหน้าที่เพียงพัดหัวใจให้ไหว แล้วลาลับ

ให้ทุกครั้งที่สายลมพัด หัวใจจะจำว่า ครั้งหนึ่งเราเคยรู้สึก

 

เมื่อสายลมรักพัดผ่าน
อักษราลัย

ลมปลายฝนต้นหนาวลอดผ่านบานหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท กลิ่นดินและกลิ่นไม้ชื้นซึมเข้ามาในห้องเหมือนหมึกซึมบนกระดาษขาว ชุดเจ้าสาวสีงาช้างแขวนอยู่ปลายเตียง เงาของผ้าละเอียดพาดคลุมกำแพงคล้ายคลื่นน้ำที่นิ่ง ขาว เงียบ และกำลังรอคำตอบบางอย่าง…จากฉัน

เสียงใบไม้กระซิบกันบนระเบียง ช่อดอกเล็ก ๆ ที่วางไว้ข้างหน้าต่างสั่นน้อย ๆ ตามแรงลม มันไม่ใช่ลมแรงที่จะพัดอะไรให้ปลิวหายไป แต่เป็นลมที่เหมือนปลายนิ้วแตะ เสียดสีอยู่แถวผิวใจให้เกิดความคันคะเยออย่างอธิบายไม่ถูก

โทรศัพท์สั่นเพียงครั้งเดียวแล้วหยุด ชื่อของเขาขึ้นมาบนหน้าจอ… กวิน

ฉันไม่ได้รับสาย ไม่ใช่เพราะไม่อยากฟัง แต่เพราะรู้ดีว่าเสียงของเขาจะยิ่งทำให้ลมที่อยู่ข้างในเปลี่ยนทิศ ฉันวางโทรศัพท์คว่ำลงบนโต๊ะ แล้วยกชุดเจ้าสาวขึ้นแนบลำตัว แผ่วเบาอย่างไม่กล้าทำให้ผ้าสีงาช้างนั้นยับย่นแม้แต่น้อย

คืนนี้เป็นคืนก่อนงานแต่งงานของฉันกับนที เราเตรียมงานกันไว้เนิ่นนาน ทุกอย่างออกมาตามแผน คมกริบเหมือนรอยพับของกระดาษในการ์ดเชิญ ไม่มีพื้นที่เหลือให้ชะตากรรมเล่นลวดลาย

แต่ลม… ไม่มีใครพับมันให้อยู่ในซองได้

ภาพของกวินกลับขึ้นมาทีละชิ้นเหมือนเศษกระจกที่สะท้อนกันเอง แววตาเมื่อครั้งเรานั่งบนขั้นบันไดหน้าตึกเรียนในฤดูฝน คางวางบนเข่า กลิ่นฝนบนเสื้อยีนของเขา เสียงร้องไห้เบา ๆ ของฉันที่ไม่ได้ดังออกจากปาก แต่ดังอยู่ในอก เขาไม่ถาม ไม่เอื้อมมากอด ไม่ปลอบว่ามันจะดีขึ้น เขาเพียงนั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้การร้องไห้ไม่ใช่ความอับอาย แต่กลายเป็นสิ่งธรรมดาเหมือนฝนตกในวันที่เหมาะ

คืนนั้นเขาถอดเชือกรองเท้าผ้าใบของตัวเอง แล้วผูกให้ฉัน เพราะเชือกของฉันยุ่ยมากจนสุดปลายขาด เขาผูกแบบเงียบ ๆ ไม่สอน ไม่ตำหนิ ก่อนจะเลิกคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ชินกับลมที่พัดจนผมปรกหน้า เขาใช้ปลายนิ้วชี้ค่อย ๆ เกลี่ยเส้นผมให้พ้นดวงตา ฉันจำสัมผัสนั้นได้แม้เวลาจะผ่านไปนานพอให้ตัวเลขในบัตรนักศึกษาลบไปจากความทรงจำ

“ไปกินข้าวไหม” เขาถามในวันสุดท้ายก่อนที่ฉันจะตอบตกลงคบกับนที

“วันนี้ไม่ว่าง” ฉันตอบ ทั้งที่หัวใจโล่งเหมือนสนามหญ้าหลังฝนที่พร้อมให้ใครมาเดินเล่น

แล้วเขาก็ถอยออกไปเหมือนลมเย็นที่ลดลงยามค่ำ ไม่มีเสียงปิดประตู ไม่มีถ้อยคำลา มีเพียงความเงียบที่วางอยู่ระหว่างเรา

******

นที…ไม่ใช่คนของลม เขาคือแม่น้ำที่มีทิศทาง มีฝั่งพิง และมีแผนที่ น้ำของเขาอุ่นมือเมื่อฉันจุ่มลง มีแรงพอพาฉันไปข้างหน้า ไม่หวือหวา ไม่แปรปรวน เขารู้เวลาตื่น เวลานอน รู้ว่าดอกไม้ชนิดไหนที่ฉันมีอาการแพ้ รู้ว่าเมื่อฉันปวดหัวเขาจะค่อย ๆ นวดท้ายทอย ไม่เคยพยายามแก้ไขฉัน แต่คอยวางผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นไว้ข้างหมอน

ฉันรักความมั่นคงอย่างที่ใคร ๆ รักแสงแดดในเช้าแรกหลังฝนตกหนักตลอดคืน มันทำให้พื้นดินแห้งและทำให้ราวตากผ้ากลับมามีสีสัน

อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงของแม่น้ำทำให้เราเคยชิน จนไม่ทันรู้ว่าลึกลงไปยังมีน้ำวน ค่อนข้างเงียบ และอาจชักพาใจเราไปในทิศทางที่ไม่ตั้งใจ

คืนก่อนวันพิธี เรากินอาหารเย็นกับเพื่อนสนิทไม่กี่คน กวินมาช้า เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนของเขาเปียกชื้นเล็กน้อยตรงไหล่ขวา กลิ่นฝนติดตัวเขาเหมือนเดิม พอเขานั่งลงตรงข้าม ฉันก็ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

เขาบอกกับพนักงานเบา ๆ ให้เลื่อนโต๊ะออกห่างเครื่องปรับอากาศ เพราะฉันชอบความเย็นจากลมธรรมชาติ ไม่ใช่ความเย็นของเครื่องจักร ฉันไม่ได้บอกใครในโต๊ะนั้นมาก่อน กวินยิ้มมุมปาก ไม่มองฉันนาน ปล่อยให้ฉันอยู่กับเพื่อนในค่ำคืนที่เหมือนทุกอย่างถูกวางเรียบร้อยไว้ในจาน

นทีเล่าแผนเรื่องบ้านที่เราจะไปดูหลังกลับจากฮันนีมูน เขาเปิดภาพต้นไม้ที่คิดจะปลูกหน้าบ้าน ต้นปีบที่ให้กลิ่นหอมตอนค่ำ ฉันเห็นภาพในหัวเป็นเงาต้นไม้กับหน้าต่างสีโอ๊ค ฉันพยักหน้า ขณะริมฝีปากไม่ค่อยอยากกลืนอะไรให้ลงท้อง

กวินพูดน้อยจนน้อยกว่าลม ฉันจับได้เพียงคราวที่เขาหันไปคีบพริกออกจากจานของฉันเงียบ ๆ และเรียกน้ำอุ่นให้ช้า ๆ เผื่อฉันจะรู้สึกสบายขึ้น เขาจำได้เสมอว่าฉันไม่ถูกกับความร้อนในลำคอ แต่ชอบน้ำอุ่นในมือ

บนโต๊ะ เราพูดถึงเรื่องราวที่ควรจะพูดกัน ไม่มีใครพูดถึงลม

*****

เมื่อกลับถึงห้องพบถุงเล็ก ๆ วางหน้าประตู ไม่มีชื่อผู้ส่ง มีเพียงลมที่พัดกระทบกระดาษบางจนเกิดเสียงกรอบแกรบ ฉันเปิดถุงนั้นพบกล่องกระดาษแข็งและแผ่นโน้ตขาวเปล่า ข้างในเป็นโมบายทำจากไม้ไผ่ เสียงเมื่อฉันสัมผัสเบา ๆ คือเสียงกรุ๋งกริ๋งคล้ายแก้วใสชนกันในห้องว่าง มันพาฉันกลับไปคืนหนึ่งที่ดาดฟ้าหอพักเก่า เรานั่งพิงกำแพงคอนกรีต ใบหน้าเปียกจากละอองฝน ลมตีสายโมบายขาด ๆ หาย ๆ เราไม่พูดเรื่องอนาคต พูดถึงเพียงมะม่วงหน้าปากซอย และร้านก๋วยเตี๋ยวที่ใส่กระเทียมเจียวจนหอม เราไม่รู้ว่าความสุขที่ไม่ได้วางแผนจะมีน้ำหนักขนาดนี้

โมบายในมือฉันวางตัวเหมือนความลับที่ไม่ได้ซ่อน จงใจอยู่นอกลิ้นชัก เหมือนคำถามที่ไม่มีเครื่องหมายคำถามต่อท้าย

ฉันวางมันไว้ข้างหน้าต่าง เสียงกรุ๋งกริ๋งแผ่วเหมือนเสียงคนกระซิบชื่อของใครบางคน แล้วหายไปในลม

คืนนั้นฉันไม่หลับ ฉันฟังเสียงลมกระทบโมบายนั้นจนเช้า

******

เช้าวันงาน ลมเปลี่ยนทิศตั้งแต่ฉันยังไม่ทันสังเกต ผ้าม่านขาวบนระเบียงพองตัวเหมือนลมหายใจลึกในอก ขอบท้องฟ้าสีเทาค่อย ๆ จางจนกลายเป็นน้ำเงินอ่อน ตึกฝั่งตรงข้ามโดนแสงเช้าทาบจนเห็นขอบคม คล้ายกับว่าโลกทั้งใบถูกรีดให้เรียบด้วยเตารีด

ฉันเดินไปตามทางเดินยาวของโรงแรมในชุดคลุมบาง ๆ ตั้งใจจะลงไปห้องจัดงานเงียบ ๆ ก่อนใคร ส้นเท้าเปล่าของฉันแตะพรมอุ่น ยังไม่ทันถึงมุมโถง ฉันก็เห็นกวินยืนพิงผนังใกล้บันไดหนีไฟ เสียงรองเท้ากีฬาเบา ๆ บนพื้น เขาไม่ได้ใส่สูท ยังเป็นเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงเรียบ ๆ เหมือนนักศึกษาที่คุ้นตา หลายปีหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยบนท่าทาง

“ตื่นเช้า” เขาพูดเหมือนคนทักเรื่องอากาศ

“เจ้าสาวที่ดีควรตื่นเช้า” ฉันตอบ ยิ้มบาง ๆ

เขาหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกง เป็นแผ่นกระดาษคั่นหนังสือเก่า ๆ ที่ฉันจำได้ทันที ใบจามจุรีแห้งถูกกดทับระหว่างชิ้นพลาสติกใส ขอบเปรอะด้วยหมึกปากกาเล็กน้อย ตรงมุมมีรอยแตกเหมือนรอยแยกเล็ก ๆ บนพื้นดินยามแล้ง

“ของเธอ” เขายื่นให้ นิ้วเขายาวและมีรอยหมึกติดเหมือนเดิม

ฉันรับไว้โดยไม่ถามว่าเขาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบจามจุรีเล็ก ๆ ขยับน้อย ๆ ในแผ่นใสเหมือนหัวใจของใครบางคนที่ยังมีชีพจรในโลกที่หยุดเคลื่อนไหว

“ขอบใจ” ฉันบอก แล้วเราก็ยืนนิ่งเงียบอยู่กับลมหายใจของตัวเอง

“นทีเป็นคนดี” เขาพูด เหมือนพูดกับลม

“ใช่” ฉันตอบเบา ๆ ขอบตาร้อนผ่าว จนต้องกลั้นลมหายใจ

“ฉันไม่ใช่คนดีกว่านั้น” เขาบอกโดยไม่เงยหน้า น้ำเสียงไม่ขมขื่น ไม่อ้อนวอน เรียบเหมือนพื้นไม้ที่ผ่านฝนมานานจนสีของมันฝังกับบ้าน

คำพูดนั้นเป็นเหมือนการเลื่อนหน้าต่าง เปิดทางให้ลมเข้า ไม่ใช่เพื่อพัดพาอะไรออก แต่เพื่อให้สิ่งที่ค้างคาใจได้หายใจ

“เราเคยรักกันไหม” ฉันถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ

กวินยิ้ม ผิวรอบดวงตาเขาย่นเล็กน้อย “บางคำไม่ต้องตอบก็ฟังออก” เขาบอก แล้วหันไปดูท้องฟ้าในช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เหนือบันได “ลมก็เหมือนกัน เราไม่เห็นมัน แต่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนจากสิ่งที่มันแตะต้อง”

ฉันไม่ได้ร้องไห้ แต่รู้สึกถึงน้ำหนักของหยดน้ำเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็น เกาะอยู่ตามขนตา บางเบาเหมือนละอองฝน

เขาถอยครึ่งก้าว ทิ้งมือไว้ข้างลำตัวอย่างคนที่เรียนรู้มาพอว่า อะไรควรแตะ อะไรควรวาง

“ไปเถอะ” เขาพยักหน้าไปทางห้องจัดงาน

ฉันพยักหน้ารับ ก่อนเดินผ่าน ใกล้จนได้กลิ่นฝนติดเสื้อยืดของเขาอีกครั้ง กลิ่นนั้นทำให้ฉันอยากหยุดเวลาไว้บางวินาที แต่ขาทั้งสองข้างของฉันยังเดิน จังหวะเท้ายังคงมีทิศทางตามพรม และพรมก็พาไปหาห้องที่มีคนกำลังจัดดอกไม้สีขาว

*****

พิธีแบบเล็ก ๆ เริ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น เสียงดนตรีเบาเหมือนไอระเหยบนแก้วน้ำตอนบ่าย เสียงจานช้อนชนกัน เราหัวเราะในจังหวะที่ควรหัวเราะ ยิ้มในจังหวะที่โลกคาดหวังให้ยิ้ม นทีมองฉันด้วยสายตาที่คุ้นเคย ไม่ใช่สายตาของคนที่อยากครอบครอง แต่เป็นสายตาของคนที่อยากให้ฉันอบอุ่นอยู่เสมอ

ตอนรับพร ฉันเห็นโมบายในจินตนาการแขวนอยู่เหนือศีรษะ เสียงกรุ๋งกริ๋งของมันดังกลบคำพูดที่ฉันจำไม่ได้ในภายหลัง ฉันไม่รู้ว่ามันคือน้ำตา หรือแสงไฟบนเพดานที่ทำให้ภาพพร่า พอรู้ตัวอีกที แหวนวงเล็กก็อยู่บนมือ และเสียงปรบมือก็ตกลงมาราวฝนเบาบางในวันแดดจัด

กวินยืนอยู่ด้านหลัง เขาไม่เข้าใกล้ ไม่เดินหนี ในภาพถ่าย เขาจะเป็นคนที่อยู่ปลายขอบ บางทีอาจถูกตัดออกตอนเอาภาพไปอัดขนาดเล็ก เหลือเพียงส่วนหนึ่งของไหล่และปลายผมที่ลมพัด

หลังพิธี นทีจับมือฉันแน่นพอให้มั่นใจ แต่ไม่แน่นเกินจนรู้สึกถูกบังคับ “เหนื่อยไหม” เขาถาม

“นิดหน่อย” ฉันยิ้ม

“ขึ้นไปพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตามไป” เขาบอก

ฉันพยักหน้า เดินกลับไปตามทางเดิน ลมยังคงพัดจากปล่องบันไดเหมือนเดิม ฉันหยุดอยู่ตรงจุดที่เจอกวินตอนเช้า มองหน้าต่างเล็ก ๆ ที่ท้องฟ้าสีเปลี่ยนจากน้ำเงินอ่อนเป็นขาวจาง พอลมพัด ฉันได้ยินเสียงโมบายจากในห้องอย่างชัดเจนกว่าตอนกลางคืน เสียงนั้นเหมือนคนหัวเราะเบา ๆ ตอนเข้าใจอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องอธิบาย

บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างหน้าต่าง ฉันวางใบจามจุรีในแผ่นใสไว้และมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ใบเล็ก ๆ นั้นถูกกดทับแบนสนิท แต่เส้นใบยังชัด เหนือเส้นใบคือรอยแตกตรงมุม ฉันเกือบจะอยากเอากาวใสทาให้เรียบ แต่ก็รู้ว่าแผลบางอย่างควรอยู่กับร่องรอยของมัน เพื่อช่วยเราจำว่าเคยมีแรงสั่นไหวผ่านตรงนี้

ฉันวางแผ่นใสกลับลงในกล่อง แล้วผูกกล่องเล็ก ๆ นั้นไว้กับสายโมบายให้เป็นน้ำหนักถ่วงเล็กน้อย ลมพัดมา โมบายกระทบกันเป็นเสียงกรุ๋งกริ๋ง ขณะที่กล่องเล็กแกว่งช้า ๆ บนปลายเชือก

มองภาพนั้นแล้วฉันเห็นความหมายที่ไม่ต้องอธิบาย ลมไม่ได้อยู่เพื่อพัดพาอย่างเดียว มันทำให้สิ่งที่แขวนอยู่รู้ว่า “ยังอยู่”

*****

หลายเดือนต่อมา บ้านไม้เล็ก ๆ ของเรากลายเป็นบ้านที่แท้จริง นทีปลูกต้นปีบหน้าหน้าต่าง ปลายใบสะท้อนแสงหลังฝนตกตอนเย็น กลิ่นหอมจากดอกปีบลอยเข้าครัวขณะฉันล้างจาน มือจุ่มลงในอ่างน้ำอุ่น ฟองสบู่คลุมมือค่อย ๆ ลดตัวลงเหมือนเมฆบาง ๆ แยกออกให้เห็นฟ้า

ฉันแขวนโมบายไม้ไผ่ไว้ที่ชานบ้าน ฝนต้นฤดูพรมลงเบา ๆ กระทบไม้ไผ่จนเป็นเสียงคุ้นเคย กล่องเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ยังแกว่งช้า ๆ อยู่ตรงปลายเชือก ฉันไม่ได้เปิดมันอีก

นทีเดินเข้าบ้านพร้อมเสียงรองเท้าหนังบนพื้นไม้ เขาวางถุงผลไม้ลง “วันนี้มีชมพู่หวานมาก” เขาพูด ยิ้มจนตาหยี

ฉันรับชมพู่ แช่ลงในอ่างน้ำอีกอ่างหนึ่ง ใส่เกลือนิด ๆ ละลายในน้ำ ความเค็มเบาบางทำให้รสหวานชัดขึ้น เหมือนบางครั้งความจริงที่ขมเล็กน้อยทำให้สิ่งดี ๆ กลายเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้แจ่มชัด

เราออกไปนั่งที่ชานบ้าน กินชมพู่เงียบ ๆ ลมขยับโมบายเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฉันเอนหัวลงบนไหล่นที มองเส้นรุ้งสีจางที่ขอบฟ้า น้ำบนถนนหน้าบ้านขังแอ่งเล็ก ๆ สะท้อนต้นปีบให้ดูเหมือนต้นไม้สองต้นซ้อนกัน

“เสียงลมเพราะดี” นทีว่า

“อืม” ฉันตอบ

เขาเอื้อมมือมาจับมือฉัน ปลายนิ้วเราทาบกันอย่างลงตัวเหมือนเคย “ขอบคุณที่เลือกมานั่งกินชมพู่กับฉันทุกวัน” เขาว่า

ฉันไม่ตอบด้วยคำ แต่บีบมือเขาเบา ๆ รู้สึกว่าความเงียบของเรามีน้ำหนักพอจะรองรับทั้งอดีตและอนาคตไว้พร้อมกัน

ในบ้าน ไฟยังไม่เปิด เงาของเราซ้อนอยู่บนผนังเหมือนรูปวาดที่วางทับกันสองชั้น ลมผ่านตาข่ายหน้าต่างเข้ามา เคลื่อนที่ช้า ๆ ทำให้ผ้าม่านขยับนิดเดียวพอให้รู้ว่ามันยังหายใจอยู่

******

บางคืน ลมแรงกว่าปกติ โมบายดังจนฉันสะดุ้งตื่น ฉันลุกจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างเปิดบานไม้แง้มออก กลิ่นดินหลังฝนชัดเจนเหมือนเพิ่งรดน้ำลงบนกระถางใหม่ ฉันเอื้อมมือไปแตะกล่องเล็ก ๆ ที่ผูกอยู่ปลายเชือก มันเย็นและแน่น ไม่ได้ทะเยอทะยานจะหลุดไปไหน ฉันไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ยอมให้ความชื้นของลมเข้ามาเกาะที่ขอบตา

ฉันคิดถึงกวินในแบบที่คนคนหนึ่งคิดถึงลม ไม่ได้อยากจับ ต้องการเพียงรู้ว่ามันยังเคลื่อนไหวอยู่ในโลกเดียวกับเรา คิดถึงความเงียบที่เราเคยนั่งเคียงกันบนบันไดเก่า ๆ ความเงียบที่ทำให้การมีอยู่ของเราไม่จำเป็นต้องอธิบาย เราไม่ใช่กันและกันในปัจจุบัน ไม่ใช่กันและกันในอนาคต แต่เคยเป็นเงาอ่อน ๆ ในหัวใจของอีกฝ่ายอย่างที่ลมพาดผ่านผิวน้ำ แล้วน้ำก็จดจำวงคลื่นเล็ก ๆ นั้นนานกว่าเราคิด

ฉันปิดหน้าต่าง กลับไปนอนข้างนทีที่กำลังหลับ เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอเหมือนเสียงแม่น้ำไหล เขาพลิกตัวมาโอบฉันไว้โดยไม่รู้ตัว เมื่อน้ำหนักมือเขาวางบนเอว ฉันรู้สึกเหมือนเรือเล็กถูกผูกเชือกไว้กับท่าอย่างพอดี ไม่แน่นจนเจ็บ ไม่หลวมจนกลัว

ฉันหลับลงอีกครั้งโดยมีเสียงกรุ๋งกริ๋งเบา ๆ เป็นบทเพลงที่ไม่มีคำร้อง

******

ฤดูเปลี่ยน ปีบออกดอกจนขาวพราวตาไปทั้งต้น เรานั่งกินข้าวกลางแจ้งมากขึ้น แมลงปอบินต่ำเหนือแอ่งน้ำ เด็กบ้านข้าง ๆ เรียนรู้จะปล่อยว่าวในสนามหญ้าเล็ก ๆ ว่าวของเธอขึ้นไปสูงบ้าง ต่ำบ้าง ตามแรงลมที่มองไม่เห็น

วันหนึ่ง ฉันเห็นเขา…กวิน เดินผ่านหน้าบ้าน ไม่ใช่บังเอิญอย่างที่หนังชอบสร้าง แค่ถนนนี้เป็นทางลัดไปตลาด เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีซีด สะพายถุงผ้า เขามองเข้ามาในบ้านฉันผ่านช่องประตูที่เปิดรับลมอยู่พอดี และฉันก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย เราไม่ได้พูดคุยยาวนาน เพียง “สบายดีไหม” “อืม” “โชคดี” “ขอบคุณ” เสียงลมกลบคำอยู่ครึ่งหนึ่ง

เขาเหลือบตามองโมบายที่ชานบ้าน ครั้งนี้สายตาเขายิ้ม ไม่ใช่ริมฝีปาก

ก่อนจะเดินจากไป ฉันถามเบา ๆ “เธอยังเก็บอะไรไว้อยู่ไหม”

เขาพยักหน้าแทนคำตอบ แตะอกซ้ายของตัวเองเบา ๆ เหมือนยืนยันว่าหัวใจยังทำงาน

หลังเขาจากไป ฉันนั่งลง นทีเดินออกมาพร้อมแก้วน้ำเย็น เขายื่นให้ ฉันดื่มช้า ๆ น้ำเย็นทำให้ลมหายใจคมชัดขึ้น

ฉันหันไปมองใบปีบที่ไหวตามลม แล้วก็เข้าใจว่าความรักไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เราได้ครอบครองเสมอไป บางครั้งมันเพียงสอนให้เราแยกแยะว่า เสียงไหนเป็นลม เสียงไหนเป็นน้ำ เสียงไหนคือความเงียบที่ภายในใจเราอยากพัก

เมื่อสายลมรักพัดผ่าน มันไม่ได้พรากอะไรไปจากเราเสมอไป บางครั้งมันเพียงทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่อยู่กับเราอยู่แล้ว มีค่ามากเพียงใด และสิ่งที่จากไป ก็ยังสั่นกระทบเราอย่างงดงามพอให้ยิ้มได้

-จบ-

เนื้อหาโดย: อักษราลัย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อักษราลัย's profile


โพสท์โดย: อักษราลัย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติพบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการีแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ประธานสหภาพฯ" บริษัทไดกิ้น เปิดใจหลังสั่งปิดงาน! ชี้ ยังต้องได้โบนัสปมปริศนาการจากไป! พ่อแม่ 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' อายัดศพ หลังทราบผลชันสูตรกองกำลังพิเศษ BHQ ทรยศฮุนเซน แอบไปซบ อก สมรังสีเหนือความเชื่อ! "ซูเปอร์ฟูลมูน" เรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้...“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”ทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิด
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต
การเดินทางที่ไม่สามารถที่จะระบุเวลาที่จะถึงได้ "แล้วแต่สถานการณ์ระหว่างทาง"ความรู้นั้นมีการรวบรวม ส่วนของวรรณกรรมและเรื่องราวความเป็นมา (ปราสาทหินพิมาย)"อย่าเดินเหยียบธรณีประตู" สิ่งที่ติดหูเรานั้นมาตลอด คำบอกเล่าจากยายใต้เเสงไฟคริสมาสต์ จุดประกายความหวังครั้งใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่