หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ก้าวข้ามขอบฟ้า

เนื้อหาโดย อักษราลัย

 

ก้าวข้ามขอบฟ้า

โดย อักษราลัย

 

-1-

 

     แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ยามเช้าทอประกายผ่านม่านหมอกบางที่ลอยอยู่เหนือทิวเขา นวลเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น หยดน้ำค้างเกาะพราวอยู่บนใบหญ้าสะท้อนแสงระยิบระยับราวกับเพชร เธอสูดลมหายใจลึก อากาศเย็นทำให้ปลายจมูกแดงเล็กน้อย เสียงนกเล็ก ๆ ร้องทักทายวันใหม่ดังแว่วมาจากยอดไม้

 

     มือที่เต็มไปด้วยรอยด้านกำลังจับเชือกที่ผูกกับถังน้ำ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในแต่ละก้าวทำให้บ่าของเธอปวดแปลบ แต่เธอก็ยังเดินต่อไป ทางเดินขึ้นเขาที่คุ้นเคยกลับรู้สึกยากลำบากกว่าทุกวัน ก้อนหินที่เคยข้ามได้อย่างคล่องแคล่วกลับทำให้เธอก้าวพลาด 

 

     "เมื่อไหร่จะมีน้ำประปาเหมือนในเมืองกันนะ" เสียงดังมาจากข้างหลัง

 

     นวลหันไปมอง สายตาปะทะกับดวงตาคู่เล็กที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของแม่ ริ้วรอยบนใบหน้าของแม่ดูลึกขึ้นทุกวัน เหมือนเป็นบันทึกของความยากลำบากที่ผ่านมา

 

     "ลูกอยากไปเรียนในเมืองไหม?" แม่ถามขึ้นมากลางเส้นทางมุ่งสู่บ้าน มือเหี่ยวย่นของแม่กำเชือกแน่น น้ำในถังกระเพื่อมไปมา คำถามนี้ทำให้นวลสะดุดเล็กน้อย

 

     "ทำไมแม่ถามแบบนั้นล่ะ" นวลถามกลับ พลางมองไปที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไกลลงไปเบื้องล่าง บ้านหลังเล็กมุงด้วยหญ้าคาเรียงรายอยู่อย่างเงียบสงบ ควันจากเตาไฟลอยขึ้นเป็นสาย นั่นคือทุกสิ่งที่เธอรู้จักมาตลอดสิบหกปีของชีวิต

 

     "ครูสมศักดิ์มาหาแม่เมื่อวาน" แม่พูดขึ้น น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย "ครูบอกว่าลูกเป็นเด็กเก่ง เขาอยากให้ลูกได้เรียนต่อที่โรงเรียนในตัวจังหวัด เขาช่วยหาทุนให้แล้วด้วย"

 

     นวลก้มหน้ามองรองเท้าขาด ๆ ของตัวเองที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน คำถามนี้เคยผ่านความคิดเธอมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่คิด ภาพของแม่ที่ต้องทำงานหนักคนเดียวก็ผุดขึ้นมาในสมอง

 

     "หนูกลัว..." เธอตอบเสียงเบา "กลัวว่าแม่จะอยู่คนเดียวไม่ได้ กลัวว่าตัวเองจะไม่เก่งพอ กลัวว่าคนในเมืองจะหัวเราะที่หนูเปิ่นเชย" น้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตาของเธอ "หนูไม่เคยออกไปไกลกว่าตลาดนัดเลย จะให้หนูไปอยู่ในเมืองได้ยังไง..."

 

     แม่วางถังน้ำลงที่พื้น เดินมาจับไหล่ลูกสาว รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าที่มีริ้วรอยของกาลเวลา แววตาของแม่เปล่งประกายความหวังที่นวลไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

 

     "สิ่งที่เราไม่เคยทำมันน่ากลัวเสมอ แต่ลูกรู้ไหม มันเรียกว่าการเติบโต"

คำพูดของแม่หนักแน่นกว่าถังน้ำที่แบกมาตลอดทาง

 

     "แม่ก็เคยกลัวนะ ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานกับพ่อแล้วย้ายมาอยู่บนดอย ทิ้งบ้านเกิดในเมืองมา แต่แม่เลือกที่จะทำในสิ่งที่กลัว และนั่นเปลี่ยนชีวิตแม่ไปตลอดกาล" แม่ลูบผมของนวลเบา ๆ "บางครั้ง สิ่งที่เราไม่อยากทำที่สุด กลับเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้มากที่สุด"

 

     คืนนั้น นวลนอนไม่หลับ เสียงลมพัดผ่านช่องหน้าต่างไม้ที่ปิดไม่สนิท แสงจันทร์สาดส่องผ่านเข้ามา ทำให้เกิดเงาทอดยาวบนพื้นบ้าน เธอลุกขึ้นนั่ง หยิบสมุดเก่า ๆ ออกมาเปิดดู หน้ากระดาษเหลืองกรอบเต็มไปด้วยคะแนนเต็มและคำชมจากครู "เธอมีพรสวรรค์" ครูสมศักดิ์เคยบอก แต่นวลไม่เคยเชื่อ

 

     เธอเดินออกไปที่ระเบียงบ้าน มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง ดูเหมือนแต่ละดวงกำลังกระซิบบอกให้เธอกล้าที่จะฝัน

 

     "ทำไมต้องเป็นฉันด้วย" เธอพึมพำกับตัวเอง

 

     เช้าวันรุ่งขึ้น นวลตื่นแต่เช้ามืด มองไปที่แม่ซึ่งยังคงหลับอยู่ ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลับดูสงบนิ่ง เส้นผมหงอกแซมดำบ่งบอกถึงวัยที่ล่วงเลยมา มือที่เคยอุ้มเธอยามเจ็บป่วยบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของการทำงานหนัก

 

     นวลค่อย ๆ ย่องออกจากบ้าน เดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย แสงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น มีเพียงแสงดาวที่นำทางเธอไปสู่จุดหมาย ไม่นานนักเธอก็มาถึงริมธารน้ำเล็ก ๆ ที่เป็นแหล่งน้ำของหมู่บ้าน น้ำใสไหลเย็นกระทบก้อนหินน้อยใหญ่ทำให้เกิดเสียงเพลงธรรมชาติ

 

     เธอนั่งลงที่ริมฝั่ง จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ

 

     "ฉันจะทำได้จริง ๆ น่ะเหรอ" เธอถามตัวเอง

 

     เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากด้านหลัง นวลหันไปมองอย่างตกใจ

 

     "ตื่นเช้าจังนะ" พ่อของมาลี เพื่อนสนิทของเธอเดินเข้ามาใกล้ 

 

     นวลยิ้มให้เขาอย่างอ่อนแรง

 

     "ลุงเป็นคนแรกเลยใช่ไหมที่ออกจากหมู่บ้านไปทำงานในเมือง" เธอถามขึ้น

 

     พ่อของมาลีดูประหลาดใจกับคำถามนั้น เขาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เธอ

 

     "ใครบอกเธอล่ะ" เขาถาม ยิ้มน้อย ๆ อย่างคนใจดีปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย

 

     "มาลีเล่าให้ฟัง บอกว่าลุงเคยไปทำงานในโรงงานรองเท้าที่ตัวเมือง แล้วก็กลับมาสร้างบ้านที่นี่" นวลตอบ "มันเป็นยังไงบ้างคะ... ชีวิตในเมือง"

 

     พ่อของมาลีหัวเราะเบา ๆ ดวงตาของเขามองไปไกล เหมือนกำลังย้อนนึกถึงความทรงจำ

 

     "มันยากนะ..." เขาตอบช้า ๆ "เมืองใหญ่มันวุ่นวาย คนแปลกหน้าเยอะ ภาษาก็แปลกหู แรก ๆ ฉันร้องไห้ทุกคืน คิดถึงบ้าน คิดถึงอากาศบริสุทธิ์" เขาหยุดชั่วครู่ "แต่มันก็สอนอะไรฉันหลายอย่าง สอนให้รู้จักตัวเอง ให้รู้ว่าสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ แท้จริงแล้วแค่ยังไม่ได้ลอง"

 

     นวลฟังอย่างตั้งใจ ขณะแสงอาทิตย์เริ่มทอแสงสีทองขึ้นที่ขอบฟ้า

 

     "ลุงเคยท้อไหมคะ" เธอถาม

 

     "ทุกวันเลย" เขาหัวเราะ "แต่รู้ไหม ชีวิตเราไม่มีคำว่า 'ถ้า' หรอกนะ มีแต่คำว่า 'พยายาม' กับ 'ผลลัพธ์' เท่านั้น ฉันเคยคิดว่าถ้าไม่ออกจากหมู่บ้าน ชีวิตคงสบายกว่านี้ แต่ความจริงคือ ฉันจะไม่มีวันรู้หรอกว่าชีวิตจะเป็นยังไงถ้าไม่ได้ลอง"

 

     แสงอาทิตย์ส่องกระทบผิวน้ำ ทำให้เกิดประกายระยิบระยับ เหมือนความหวังเล็ก ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของนวล

 

     "ขอบคุณนะคะ ลุง" นวลลุกขึ้นยืน รอยยิ้มประดับบนใบหน้า "หนูคิดว่าหนูตัดสินใจได้แล้ว"

 

     เช้าวันรุ่งขึ้น นวลยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง กระเป๋าใบเล็กวางอยู่ข้างเท้า ในมือถือจดหมายรับรองทุนการศึกษาที่ครูสมศักดิ์ช่วยสมัครให้ หัวใจเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้น

 

     "เธอคงไม่กล้าไปหรอก" เสียงกระซิบจากกลุ่มเด็ก ๆ แว่วมาตามสายลม "หยอย แม่ของเธอสู้มาทั้งชีวิตแล้ว แต่ดูสิ ยังจนเหมือนเดิม เธอก็คงไม่ต่างกันหรอก"

 

     นวลกำมือแน่น นึกถึงตอนที่แม่พยายามสอนให้เธอทอผ้า มือเล็ก ๆ ของเธอสั่นเทาและพลาดทำให้ด้ายขาดอยู่หลายรอบ

 

     "ลูกทำไม่ได้" เธอร้องไห้

 

     "ไม่มีใครทำได้ตั้งแต่แรก" แม่บอก "มือแม่ก็เคยพังงานผ้าไปหลายผืน แต่นี่คือการท้าทาย ถ้าหากเราไม่เคยล้มเหลว เราก็จะไม่รู้จักชัยชนะ ความสามารถไม่ใช่พรสวรรค์หรอกนะ แต่ได้มาจากการฝ่าฟัน จากการเผชิญกับความล้มเหลวนับไม่ถ้วน และนั่นคือที่มาของคำว่าชัยชนะ"

 

     เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมาแต่ไกล ฝุ่นลอยฟุ้งเมื่อรถประจำทางแล่นมาจอดตรงหน้า นวลหันไปมองแม่เป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาเอ่อล้นขอบตา

 

     "แม่จะอยู่ได้เหรอ?" เธอถามเสียงสั่น

 

     "ลูกไม่ต้องเป็นห่วงแม่" แม่ยื่นห่อผ้าเล็ก ๆ ให้เธอ "ในนี้มีผ้าที่แม่กับลูกทอด้วยกัน เป็นผ้าผืนแรกของลูก ดูสิมันดีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนชีวิตเรา ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน ให้นึกถึงว่าชีวิตเราเหมือนการทอผ้า แต่ละเส้นด้ายที่สานเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะยากหรือง่าย มันคือส่วนหนึ่งของลวดลายที่สวยงามในตอนจบ"

 

     คนขับรถกดแตรเร่ง นวลกอดแม่แน่น ซึมซับความอบอุ่นและกลิ่นของดินที่ติดตัวแม่ไว้ในความทรงจำ

 

     "หนูจะกลับมา" เธอกระซิบ "หนูสัญญา"

 

     รถเริ่มออกตัว นวลมองผ่านหน้าต่าง ภาพของแม่และหมู่บ้านค่อย ๆ เล็กลง แต่ความหวังในใจกลับใหญ่ขึ้นจนคับอก

 

     รถประจำทางพุ่งไปข้างหน้า ทิ้งรอยล้อไว้บนถนนดินลูกรัง เช่นเดียวกับชีวิตที่ไม่หยุดเคลื่อนไหว

.

 

-2-

 

     วันแรกในโรงเรียนใหม่เป็นเหมือนฝันร้าย นวลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกหน้าท่ามกลางผู้คน เสียงหัวเราะและสายตาเย้ยหยันของเพื่อนร่วมชั้นตามเธอไปทุกที่ สำเนียงพูดที่แปลกไปจากคนอื่น เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ไม่เหมือนใคร ทุกอย่างตอกย้ำว่าเธอไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขา

 

     "อีบ้านนอก มึงเห็นรองเท้ามันไหมวะ ขาดเป็นรู"เสียงในหัวบอกเธอว่าสายตาของเพื่อนส่งเสียงออกมาเป็นคำพูดเสียดสี เมื่อเธอเดินเข้าห้องเรียน สายตาที่เธอไม่กล้าสบตา นวลก้มหน้ามองพื้น น้ำตาคลอ เธออยากจะวิ่งหนีกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่ อยากกลับไปสู่ความคุ้นเคย

 

     คืนนั้น ในห้องพักเล็ก ๆ ที่โรงเรียนจัดให้ นวลนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เธอหยิบผ้าผืนน้อยที่แม่ให้ขึ้นมากอด เหมือนเป็นเพื่อนคู่ใจเพียงคนเดียวที่เธอมี

 

     "หนูทำไม่ได้" เธอสะอื้น

 

     แล้วเสียงของแม่ก็ดังก้องในหัว "สิ่งที่เราทำไม่ได้ เรียกว่าท้าทาย"

 

     นวลเช็ดน้ำตา มองไปที่หนังสือบนโต๊ะ เธอลุกขึ้นช้า ๆ เปิดและเริ่มอ่าน แม้สมองจะล้า แต่เธอยังคงพยายาม เพราะตอนนี้ มีเพียงความพยายามเท่านั้นที่จะพาเธอไปถึงฝัน

 

     เวลาผ่านไปหลายเดือน ชีวิตของนวลเริ่มเปลี่ยนไป จากเด็กขี้อายไม่กล้าพูดในห้อง เธอกลายเป็นคนที่ยกมือตอบคำถามบ่อยที่สุด จากคนที่นั่งคนเดียวตอนพักกลางวัน เธอเริ่มมีเพื่อนที่เข้าใจและยอมรับในตัวเธอ

 

     "เธอเก่งจริง ๆ นะ" ภูมิ เพื่อนร่วมห้องที่เธอไม่เคยกล้ามองสบตาพูดขึ้นวันหนึ่ง หลังจากที่นวลช่วยอธิบายการบ้านให้เขาเข้าใจ

 

     "ฉันแค่พยายามมากกว่า" นวลตอบพร้อมรอยยิ้ม

 

     "ทำไมเธอถึงตั้งใจเรียนขนาดนี้" ภูมิถาม 

 

     นวลเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ "เพราะฉันไม่อยากยอมแพ้ต่อโชคชะตา"

 

     ภูมิมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เป็นความนับถือที่นวลไม่เคยได้รับมาก่อน

 

     ปีแล้วปีเล่า นวลยังคงมุ่งมั่น บางคืนเธอนอนไม่หลับเพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงกลิ่นดินยามฝนตก แต่ทุกครั้งที่รู้สึกท้อ เธอจะนึกถึงคำพูดของแม่ "ไม่อยากจนไปทั้งชีวิต ก็ต้องเหนื่อยสักช่วงหนึ่ง"

 

     นวลเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ด้วยเกรดเฉลี่ยสูงสุดของโรงเรียน ได้รับทุนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ

 

     "ไปกรุงเทพฯ เหรอ" แม่ถามทางโทรศัพท์ น้ำเสียงเจือความกังวล

 

     "ค่ะแม่" นวลตอบ มือกำโทรศัพท์แน่น "มันไกลกว่าเดิมอีก แต่..."

 

     "แต่นี่คือโอกาส" แม่พูดต่อให้ น้ำเสียงอ่อนโยน "คนเราถ้าไม่ก้าวออกจากสิ่งเดิม ๆ ก็จะไม่รู้ว่าโลกนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน ลูกต้องก้าวไป แม่อยู่ตรงนี้ รอลูกเสมอ"

.

 

     ห้าปีต่อมา

 

     หมู่บ้านเล็ก ๆ บนดอยยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างเปลี่ยนไป ถนนดินลูกรังถูกเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตเรียบ น้ำประปาเข้าถึงทุกครัวเรือน และมีอาคารหลังใหม่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน

 

     นั่นคือโรงทอผ้าพื้นเมือง "ก้าวข้าม"

 

     นวลยืนมองผืนผ้าทอมือที่เต็มไปด้วยความชำนาญ ลวดลายที่ปรากฏไม่ใช่แค่ลายดอกไม้ธรรมดา แต่เป็นเรื่องราวของชีวิต เป็นเส้นทางที่คดเคี้ยว เป็นความฝันที่เติบโต และเป็นความกล้าที่ก้าวข้าม

 

     "ลายนี้สวยจังค่ะเลยครูนวล" เสียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดังขึ้น นวลหันไปยิ้มให้ ดวงตาเธอเป็นประกายแห่งความภาคภูมิใจ

 

     "ต้องขอบคุณแม่ของครูนะจ๊ะ" นวลตอบ พลางลูบศีรษะเด็กหญิงคนนั้น "ครูเรียนรู้ลายแบบนี้มาจากแม่ เธอเรียกมันว่า 'ลายหัวใจก้าวข้าม' เห็นลายเส้นที่ดูเหมือนกำลังข้ามผ่านอุปสรรคไหม"

 

     เด็กหญิงกวาดสายตามองลวดลายบนผืนผ้า ตาเป็นประกาย "เห็นแล้วค่ะ มันเหมือนกำลังปีนขึ้นไปสูง ๆ เลย"

 

     คนในหมู่บ้านหลายคนเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทอผ้าที่นวลริเริ่ม สีสันต่าง ๆ บนผืนผ้าสะท้อนแสงแดดยามเย็นที่ลอดผ่านหน้าต่าง วันนี้ ไม่มีใครต้องเดินขึ้นเขาไปตักน้ำอีกแล้ว เพราะระบบประปาภูเขาได้รับการสนับสนุนจากรายได้ของโครงการทอผ้าของเธอ

 

     "ผ้าของเรากำลังจะส่งออกไปอเมริกาแล้วนะ" ภูมิซึ่งตอนนี้กลายเป็นสามีของนวลเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ "โรงแรมในนิวยอร์กสั่งผ้าปูโต๊ะลายพิเศษจากเราถึงห้าร้อยผืน"

 

     เสียงฮือฮาดังขึ้นจากชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่งานฝีมือของพวกเขาเดินทางข้ามทวีป แต่ทุกครั้งก็ยังคงเป็นความภาคภูมิใจไม่รู้จบ

 

     "หนูไม่เคยคิดว่าจะกลับมาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้" นวลพูดกับแม่ที่นั่งอยู่มุมห้อง กำลังสอนเด็กรุ่นใหม่ถักทอเส้นด้าย รอยยิ้มอิ่มเอมปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่

 

     "แม่เคยบอกไหมว่าสิ่งที่เราไม่อยากทำคือการเปลี่ยนแปลง" แม่จับมือลูกสาว ริ้วรอยบนมือบอกเล่าเรื่องราวของความพยายาม "การที่ลูกออกไปเผชิญโลกกว้าง ทั้งที่กลัว... นั่นแหละคือก้าวข้าม"

 

     นวลมองไปรอบ ๆ ห้อง ที่นี่ไม่ใช่แค่โรงงานทอผ้า แต่เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่เธอก่อตั้งขึ้นหลังจากเรียนจบปริญญาด้านการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ผนังห้องประดับด้วยรูปถ่ายและรางวัลมากมาย แต่สิ่งที่เธอภูมิใจที่สุดคือภาพถ่ายเก่า ๆ รูปหนึ่ง เป็นภาพเธอในวัยสิบหกปี กับแม่ที่กำลังสอนเธอทอผ้า

 

     ภูมิเข้ามากอดไหล่เธอจากด้านหลัง "ทำไมทอผ้ากันเงียบ ๆ จัง มีอะไรหรือเปล่า"

 

     "กำลังนึกถึงวันแรกที่ขึ้นรถออกไปจากหมู่บ้าน" นวลตอบ "ตอนนั้นกลัวมาก กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะล้มเหลว"

 

     ภูมิยิ้ม "แต่เธอก็ทำได้"

 

     "ไม่ใช่แค่ฉันหรอก" นวลส่ายหน้า "พวกเราทุกคนต่างหากที่ทำได้ เพราะเราไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ล้ม เราก็ลุกขึ้นใหม่เสมอ"

 

     นวลเดินไปหยิบผ้าผืนเล็ก ๆ ที่ใส่กรอบแขวนไว้บนผนัง ผ้าผืนแรกที่เธอทอเอง ลายไม่สวย มีจุดบกพร่องมากมาย แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

 

     "ครูนวลคะ" เด็กหญิงคนหนึ่งเรียก "หนูทอผ้าแล้วมันพันกันหมดเลย ทำยังไงดีคะ"

 

     นวลยิ้ม เดินไปนั่งข้าง ๆ เด็กหญิงคนนั้น "ไม่เป็นไร ทุกคนเคยทำพลาดทั้งนั้นแหละ" เธอช่วยแก้เส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง "แต่รู้ไหม นี่คือวิธีที่เราเรียนรู้ ทุกครั้งที่ล้มเหลว เราจะเก่งขึ้นอีกนิดนึง"

 

     เสียงทอผ้ากระทบกันดังเป็นจังหวะเหมือนเสียงเพลง ผสานกับเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ และเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ นี่คือเสียงของชุมชนที่มีชีวิตชีวา เสียงของความหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด

 

     ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน นวลนั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านเก่า มองดูหมู่บ้านที่ตอนนี้มีไฟฟ้าสว่างทั่วถึง ไกลออกไป ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ทอแสงสีทองอร่ามบนยอดเขา

 

     ภูมิเดินออกมานั่งข้าง ๆ เธอ ยื่นถ้วยชาร้อน ๆ ให้ "คิดอะไรอยู่"

 

     นวลรับถ้วยชามาถือไว้ ความอุ่นแผ่ซ่านผ่านนิ้วมือ "กำลังคิดว่าชีวิตเราเหมือนกับเส้นทางขึ้นเขาที่ฉันเคยเดินตอนเด็ก ๆ" เธอตอบ "บางจุดก็ชัน บางจุดก็ลื่น แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ สุดท้ายเราก็จะถึงจุดหมาย"

 

     "แล้วตอนนี้เธอถึงจุดหมายแล้วเหรอ" ภูมิถาม

 

     นวลหัวเราะเบา ๆ "ไม่หรอก นี่แค่จุดพักระหว่างทาง ชีวิตไม่มีจุดสิ้นสุดของการเรียนรู้ ไม่มีจุดสิ้นสุดของการเติบโต เราแค่ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะเติบโต กล้าที่จะท้าทาย และกล้าที่จะก้าวข้าม"

 

     เขาพยักห

 

น้าเข้าใจ สองแขนโอบกอดหญิงสาวที่เขาภูมิใจ หญิงสาวที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

 

     ไกลออกไป ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แต่ในใจของนวลกลับรู้สึกเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่เสมอ 

 

     …… จบ ...

เนื้อหาโดย: อักษราลัย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อักษราลัย's profile


โพสท์โดย: อักษราลัย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยพบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่าชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการีเพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต
คนเหงาและโดดเดี่ยวส่วนมากที่ไม่โสด🥺☹️การเดินทางที่ไม่สามารถที่จะระบุเวลาที่จะถึงได้ "แล้วแต่สถานการณ์ระหว่างทาง"ความรู้นั้นมีการรวบรวม ส่วนของวรรณกรรมและเรื่องราวความเป็นมา (ปราสาทหินพิมาย)"อย่าเดินเหยียบธรณีประตู" สิ่งที่ติดหูเรานั้นมาตลอด คำบอกเล่าจากยาย
ตั้งกระทู้ใหม่