ดินบนหัว
ดินบนหัว
อักษราลัย
ความเชื่อ…คือสะพานที่พาเราเดินข้ามความกลัว แม้ไม่มีใครเห็นปลายทาง
ยามเช้าของหมู่บ้านทอดตัวระหว่างละอองไอเย็นกับควันข้าวใหม่ที่ลอยจากครัวหลังบ้าน เสียงไก่ขันดังประสานก้องราวเข็มนาฬิกาของท้องทุ่ง ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ซึมแสงผ่านช่องกอไผ่ที่โอนเอนตามแรงลม ฉันนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมะม่วง ยายกอบดินเพียงหยิบเล็ก ๆ เท่าอุ้งมือน้อย แล้วยื่นมาให้ เล็บคร่ำคร่าของยายเคลือบดินสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นดินเปียกชื้นโชยออกมาอุ่นละม้ายผ้าห่มเก่าที่ไม่เคยทรยศต่อหนาวไหน
“กลั้นใจนิดเดียว แล้วบอกท่านอย่างนอบน้อม” ยายกระซิบราวกำชับให้ฉันถือจดหมายที่เขียนถึงฟ้ากว้าง
ฉันหลับตา รู้สึกถึงเม็ดดินปนทรายเล็ก ๆ ที่อยู่บนปลายนิ้ว แล้วโปรยลงกลางกระหม่อมเบา ๆ เหมือนวางดอกไม้บนแท่นบูชา เสียงยายตามมาช้า ๆ
“ว่าอย่างนี้… แม่ธรณีเอย อยู่แล้วหรือยัง”
ฉันกัดริมฝีปาก พึมพำคำตอบที่ยายบอกว่าเป็น “เสียงตอบจากดิน”
“อยู่…”
ยายส่งท้ายสั้น ๆ “สังขาตังโลกะวิธู”
ลมหายใจแรกหลังเอ่ยถ้อยคำจางเป็นไอ เหมือนมีอุ้งมืออุ่น ๆ คลุมจากท้ายทอยจนถึงกระดูกไหปลาร้า ยายยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มของคนที่ได้คำตอบจากฟ้า แต่เป็นยิ้มของคนที่วางใจ เหมือนคนรู้จักทางกลับบ้านเป็นอย่างดี
เราทำอย่างนี้ทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ไม่ว่าฉันจะไปตลาด ไปโรงเรียน หรือไปส่งยาที่สถานีอนามัย ยายไม่เคยเรียกมันว่า “เคล็ดลับ” และไม่เคยอธิบายว่าทำไปแล้วจะได้อะไร ยายเพียงชวนให้เคารพแม่พระธรณีที่เราเหยียบ เหมือนฟังเสียงลมหายใจของคนที่เรารัก ถ้าพาดินของแม่ไปด้วยกัน ก็จะอยู่รอดปลอดภัย
.
วันที่ฉันต้องเข้ากรุง เมฆเช้าปลายฤดูฝนคลี่ตัวเหมือนผ้าแพรสีเทา แม่เย็บซองผ้าผูกเชือกให้ฉัน ในนั้นมีเงินพอที่จะอยู่ห้องเช่าแคบ ๆ ได้หนึ่งเดือน ยายมองเท้าฉันที่ใส่รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ แล้วเอาปลายนิ้วจิกลงที่ดินตรงธรณีประตู สองหยิบเล็ก ๆ ยายแบ่งครึ่งเหมือนแบ่งข้าวเหนียวใส่มือฉัน
“ทางไกลแค่ไหนก็เดินไปได้ ถ้าไม่ลืมสิ่งศิกดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใต้เท้า” ยายว่าและหัวเราะเบา ๆ
ฉันตั้งสติ กลั้นใจ หยิบดินใส่หัว แล้วเอ่ยเบา ๆ ในคอ เสียงนั้นสั้นนัก แต่ยาวพอให้ใจสั่น เงาสองเงาของเราทอดยาวไปบนทางดินที่เปียกระยับจากฝนเมื่อคืน
.
ที่ท่ารถ จังหวัดกับเมืองใหญ่ถูกเย็บเข้าหากันด้วยรถทัวร์สีขาวลายฟ้า คนขับกำลังขยับท่าทางสะบัดหัวสะบัดเท้าเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้ตัวเองเพื่อเตรียมตัว นาฬิกาบนผนังบอกว่าอีกห้านาทีจะออก รถตู้คันที่จอดข้าง ๆ ชายในเสื้อยืดสีซีดชวนคนขึ้นรถด้วยเสียงดัง
“เข้ากรุงเหมือนกัน ทางลัด ถึงไวกว่า”
ฉันเงยหน้าดูป้าย ไฟกะพริบ ๆ คำว่า “ทางด่วน” ยั่วยวนใจเหมือนดอกไม้ล่อภมร ครู่หนึ่งฉันยกกระเป๋าจะเปลี่ยนใจ—แต่แขนเสื้อฉันแตะกับชายชราอีกคน เขาสะพายย่ามผ้าฝ้าย ท่าทีไม่เร่งรีบ เขายิ้มให้ฉันราวกับรู้จักกันมานาน “ลูกขึ้นรถทัวร์ไปเหอะ นั่งสบายกว่า”
ฉันพยักหน้า ขึ้นรถทัวร์ที่ช้ากว่าเล็กน้อย
หลายชั่วโมงต่อมา เมื่อรถทัวร์ผ่านด่านก่อนเข้าเมือง เสียงไซเรนของรถพยาบาลวิ่งสวนทาง นิตยสารบนตักของผู้หญิงข้าง ๆ หล่นลงพื้น เธอหยิบขึ้นโดยไม่รู้ว่าในข่าวที่เธอจะเปิดอ่านคืนนี้ จะมีภาพรถตู้คันเดียวกับที่ฉันเกือบขึ้นคว่ำอยู่ข้างทาง ฉันไม่ได้เห็นข่าวนั้นทันที เพียงรู้ว่าในอกมีเสียงแผ่นดินหนักแน่นขึ้นมาเหมือนหัวใจอีกดวง
ห้องเช่าของฉันอยู่ชั้นห้าของตึกเก่า หน้าต่างเหล็กดัด ข้างระเบียงมีต้นไม้ในกระถางที่เจ้าของเก่าทิ้งไว้ ชวนชมพุ่มเตี้ยที่ดินด้านบนแข็งเหมือนแผ่นดินแล้ง ฉันใช้นิ้วเจาะ มันแตกเป็นผง ฉันใช้ดินนั้นนิดเดียวแตะที่กลางผมทุกเช้าก่อนออกไปทำงานที่โรงงานบรรจุภัณฑ์ริมคลองแสนแสบ มือจับบัตรพนักงาน พลางพึมพำบทสั้น ๆ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
วันหนึ่ง ระหว่างพักเที่ยง ฉันเดินออกไปซื้อข้าวหน้าตึก รถกระบะสีดำจอดเทียบ คนขับลดกระจกถาม “ไปไหนน้อง เดี๋ยวพี่ไปทางเดียวกัน” ฉันส่ายหน้า ไม่ได้เพราะคำสอนของใคร แต่เพราะลมร้อนพัดฝุ่นปลิวเข้าตา กลิ่นดินแห้งกระทบกับจมูกเหมือนสัญญาณบางอย่างเตือนให้ชะงัก
เย็นนั้นวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยบอกว่ามีสาวอีกโรงงานนั่งรถคนแปลกหน้าไป ข่าวลือวิ่งเร็วกว่าลม เธอกลับไม่ถึงบ้าน วันต่อมาเรื่องของเธอโผล่ในข่าวอาชญากรรม น้ำเสียงพิธีกรเหมือนหินแข็งพูดถึงเธอเหมือนเรื่องปดติ แต่ฉันวาบไปทั่วอก มือเย็นเยียบ ใจสั่นระรัว
ฉันยังคงตักดินจากกระถางแตะหัวทุกเช้าโดยไม่ยอมรับต่อหน้ากระจกว่ากลัวอะไร การเอ่ยชื่อแม่ธรณีคล้ายเอ่ยชื่อคนที่ฉันไม่อยากให้จากไกล ราวกับโทรศัพท์สายสั้น ๆ ที่ไม่ต้องมีเหตุผล เป็นพิธีกรรมที่เสมือนเกราะคอยคุ้มภัย
บางค่ำ คืนที่ลมจากแม่น้ำชักปีกฝนขึ้นมาบนฟ้า ฉันนั่งที่ระเบียง ฟังเสียงรถไฟฟ้าเคล้าเสียงฝนลอดไปไกล ฉันนึกถึงลานหลังบ้าน นึกถึงเท้าของยายที่แตกเหมือนแผนที่ ไม่ได้คิดว่าดินช่วยป้องกันอะไร แต่รู้ว่ามันทำให้ฉันนึกถึงเส้นทางกลับบ้าน เส้นทางที่ไม่วัดด้วยกิโลเมตร
“นัดลูกค้าสองทุ่ม อย่าสายนะ” หัวหน้าบอก ฉันพยักหน้าเอาบัตรแตะเครื่องสแกน วันนั้นฉันรวบผมสูง ใส่รองเท้าหนังที่เสียงส้นกระแทกพื้นระเบียงดังกรุ๊งกริ๊ง มือข้างหนึ่งเปิดประตู อีกมือควานหากระถางดินที่มุมประจำ
แต่ฝนโครมแรกเทลงมาถึงขอบฟ้าตึก แถบฟ้าผ่าระยิบอยู่ด้านหลัง เส้นผมเรียบที่ใช้เจลจัดทรงไว้พร้อมสำหรับเจรจา ฉันชะงัก… เดี๋ยวผมเสียทรง… แค่ครั้งเดียวคงไม่เป็นไร
ฉันปิดประตู ทิ้งกระถางไว้ที่มุมห้อง ดินในนั้นนิ่งเหมือนสิ่งที่ถูกลืม…แค่คืนเดียว
ถนนในม่านฝนเหมือนหนังยางยืด หยดน้ำบนกระจกหน้ารถแท็กซี่ทำให้ไฟสัญญาณยืดยาวเป็นด้ายสีแดง ฉันส่งข้อความหาหัวหน้าว่ากำลังจะถึง ลูกค้าคือบริษัทที่ตึกกระจกสูงริมถนนใหญ่ ฝั่งตรงข้ามมีสถานที่ก่อสร้างถูกล้อมด้วยสังกะสี เป็นแท่งเหล็กเรียงรายเหมือนฟันของเมือง
ฝนซาลงจนกลิ่นคอนกรีตเปียกลอยคละกับกลิ่นสนิม ตอนฉันลงจากแท็กซี่ ผู้ชายในเสื้อคลุมกันฝนสีดำยืนอยู่ใต้ป้ายรถเมล์ หน้าของเขาถูกบังด้วยหมวกฮู้ด สายตาทิ่มมาทางฉันในระยะที่ใกล้เกินไปเล็กน้อย แต่ฉันหันไปสนใจโทรศัพท์ เสียงหัวหน้าขึ้นมาว่าให้ขึ้นชั้นยี่สิบสาม
ลิฟต์เต็มด้วยคนเหมือนนัดกันหลบฝน เคมีของน้ำหอมหลากยี่ห้อไหลวนกันจนแสบจมูก ฉันรู้สึกเหมือนมีสายตามองจากหลังคอ คุ้น ๆ อย่างกับยืนอยู่ริมทุ่งแล้วรู้ว่ามีงูเฝ้าสนาม แต่บอกตัวเองว่าเป็นเพราะความเคยชินในเมืองใหญ่
การเจรจายืดยาวจนเกือบสี่ทุ่ม ฉันปิดแฟ้ม เรียกแกร็บคาร์กลับบ้าน ปลายนิ้วสั่นเพราะกาแฟเกินสองแก้ว รถมาถึงเร็วเกินคาด ประตูสไลด์ด้านหลังเปิด ฉันขึ้นไป เสียงล็อกดัง คลิก ทันทีโดยที่ฉันยังไม่ทันคาดเข็มขัด
คนขับสวมหมวกแก๊ปสึดำ ข้อมือปูดเป็นเส้น ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะหนัก รถออกตัวเร็วผิดปกติ จากหน้าต่าง ฉันเห็นว่ารถพาฉันไปทิศที่ตรงข้ามกับทางขึ้นทางด่วนที่คุ้นเคย
“พี่คะ ทางนี้ไม่ใช่นะคะ” ฉันถาม เสียงตัวเองฟังดูเหมือนคนอื่น
“หลบรถติด” เขาพูดสั้น ๆ จากนั้นก็เปิดเพลงเสียงดังเกินพอดี จังหวะกลองหนักกลบทุกสิ่ง แผงคอนโซลสว่างเป็นสีฟ้า เย็นชาจนเหมือนน้ำแข็งสีกาแล็กซี ฉันเลือกเปิดแอปดูเส้นทาง แต่สัญญาณหายไป ทั้งที่เมื่อครู่ยังไหลลื่น
ถนนบานออกเป็นเส้นร้าง รถน้อยลง เราผ่านหน้าวัดเล็ก ๆ ที่กำแพงขาวดำทับกลิ่นหญ้าเปียก ฉันเห็นซอกวัดที่แสงไฟนีออนกะพริบ เหนือกำแพงมีเงาของรูปปั้นผู้หญิงบีบน้ำจากมวยผม—ฉันจำได้ทันที แม่ธรณี—แต่รถก็พุ่งเลยอย่างไม่แยแส
กลิ่นภายในรถเริ่มแปลก เหมือนยางใหม่ผสมกับสารทำความสะอาดที่ทิ้งท้ายด้วยรสขมบนลิ้น ฉันกลืนน้ำลาย กดโทรศัพท์หาหัวหน้าอีกครั้ง หน้าจอสว่างวาบแล้วมืด ฉันสอดสายตาหาอะไรก็ได้ที่จับต้องได้ กระเป๋าผ้ายี่ห้อหน่วยงานอาสาใบเล็กอยู่ข้างตัว ฉันค่อย ๆ รูดซิปเจอขวดน้ำครึ่งขวดและเข็มกลัดหัวใจ พลาสติกแข็งของขวดน้ำกดนิ้วฉันเป็นรอย
รถเลี้ยวเข้าซอยมืดลงเรื่อย ๆ เสียงยางบดหินคลุกดังกราว ฉันเห็นรั้วสังกะสีของไซต์งานอีกแห่ง นอกหน้าต่างมีเนินดินสีแดงท่วมไหล เหล็ก H-beam วางซ้อนกันราวกับกำแพงตีนเขา
“พี่จะพาไปไหนกันแน่คะ” ฉันถามอีกครั้ง คราวนี้เสียงฉันไม่สั่น
คนขับไม่ตอบ แต่ลดกระจกฝั่งขวาเล็กน้อย ลมเย็นทะลุเข้ามาพร้อมกลิ่นฝนค้าง เขาขยับเกียร์ รถชะลอ ก่อนจะหยุดหน้ามุมอับของกำแพงสังกะสีที่ไม่มีไฟฟ้า ฉันจับมือจับประตู พยายามปลดล็อก แต่ระบบอัตโนมัติเหมือนไม่เป็นใจ
หยดน้ำจากชายคาสังกะสีหลังคารั่ว ตกใส่กระจกเป็นจุด ๆ เวลาเหมือนยืดออกไปเนิ่นนาน ถ้อยคำที่ฉันเคยเอ่ยทุกเช้าหลายปีเหมือนปลายด้ายที่ลืมม้วนกลับ แม่ธรณีเอย อยู่แล้วหรือยัง… อยู่… สังขาตังโลกะวิธู ฉันได้ยินเสียงนั้นในคอ แต่อากาศในรถแข็งเหมือนใส่เฝือก ฉันไม่มีดิน ไม่มีกระถาง ไม่มีธรณีประตู มีเพียงพื้นรองเท้าหนังใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสดินจริง ๆ มานาน
ไฟหน้ารถจากถนนใหญ่เลียเข้ามาเป็นพู่ ฉันเห็นเงาของคนขับขยับ มือซ้ายยื่นมาด้านหลังเหมือนจะวางอะไรบางอย่างบนตักฉัน พลาสติกกรอบกราว หรือผ้า? สัญชาตญาณเตะจังหวะให้ตื่นตัว ฉันปลดเข็มขัดพรวดเดียว ประตูยังล็อก ฉันกระชากซ้ำ ๆ จนเสียงเตือนดัง
แล้วบางอย่างนอกเหนือเจตนาของเราเกิดขึ้น เสียงแตรรถบรรทุกลากยาว ราวกับโลกกำลังเตือนตัวเอง รถสิบล้อบรรทุกทรายขับผ่านหน้าปากซอยอย่างเร็ว เบรกกะทันหันจนทรายทะลักทะลายเป็นสายน้ำสีอิฐ หน้ารถเรา ราวกับใครเทแผ่นดินลงมาปิดทาง ดินเม็ดเล็กชนกันแล้วกระเด็นผ่านช่องกระจกที่คนขับเปิดไว้ ปะทะเข้าใบหน้า แขนเสื้อ กลิ่นดินสดชื่นชนจมูกแรงเหมือนข้าวใหม่แรกนา
ฉันไม่ทันคิด มีแต่ร่างกายที่จำพิธีก่อนสมองสั่งการ ฉันยกมือนิดเดียวรับดินจากอากาศที่ทะลักเข้ามา กลั้นใจ แตะกลางศีรษะตัวเองอย่างรวดเร็ว เสียงในคอแทบไม่ใช่เสียง “ฉัน” แต่เหมือนเสียงของใครต่อใครที่เคยเอ่ยประโยคนี้มานานกว่าอายุฉันหลายเท่า
“แม่ธรณีเอย อยู่แล้วหรือยัง… อยู่… สังขาตังโลกะวิธู”
ความเย็นแล่นจากหนังศีรษะลงสู่ต้นคอเหมือนสายน้ำใส คนขับสบถ กดล็อกอีกครั้ง มือขวาพุ่งมาคว้าข้อมือฉัน แต่ดินเปียกที่เกาะบนฝ่ามือทำให้มือเขาลื่นพลาด แถมเสียงตะโกนของวินมอเตอร์ไซค์สองคันที่ตามรถทรายเข้ามาก็ดังก้อง “เฮ้ย! รถอะไรจอดปิดซอย!”
ในสัญชาตญาณของเมือง มีบางคนพร้อมจะเข้าไปช่วยก่อนถาม ฉันใช้จังหวะคนขับเสียสมาธิ กระแทกไหล่กับประตูอีกที คราวนี้ล็อกดีดออก ฉันถีบเปิดจนล้มกลิ้งลงบนทราย สะโพกกระแทกพื้น ความเจ็บแผ่ซ่านจนร่างกายแทนปริแตก แต่หัวยังสั่งให้วิ่ง
ทรายและฝุ่นทำให้ทุกก้าวเหมือนวิ่งบนฝันที่ไม่มีน้ำหนัก ฉันปัดเส้นผมที่ติดหน้าผาก ลุกขึ้น วิ่งไปทางวัดที่เราเพิ่งผ่านเมื่อครู่ รูปปั้นผู้หญิงบีบน้ำจากมวยผมในกำแพง แม่ธรณีเสมือนแสงนำทางในคืนไร้ดวงดาว
คนขับลงจากรถตามมา แต่ล้อรถสิบล้อบดทรายจนกลายเป็นร่องแฉะ เขาเซถลา วินคนหนึ่งจอดบัง เขาตะโกนถาม “มีอะไรกัน!” ในมือเขาถือหมวกกันน็อกเหมือนถือโล่ คนขับชะงักชั่วครู่ ความลังเลกะพริบในสายตา เขาย้อนกลับเข้าไปในรถ สตาร์ทและถอยหลังอย่างลนลาน เสียงเครื่องยนต์กรีดอากาศ ฝุ่นทรายฟุ้งขึ้นเหมือนฟ้าลงคาถา
ฉันพ้นซอย หัวใจเต้นจนเจ็บชายโครง ข้ามถนนไปหน้าวัด ฝนโปรยกลับมาทีละเม็ด ชะทรายบนไหล่ฉันลงเป็นทาง น้ำหยดจากมวยผมของรูปปั้นแม่ธรณีเหมือนหยดจริง ฉันยืนพิงกำแพง สูดกลิ่นดินจนลึกเหมือนกินข้าว
แม่ค้าขายดอกไม้หน้าวัดออกมาดู เอาผ้าขาวม้าให้ฉันซับหน้า เธอถามสั้น ๆ ว่า “หนีใครมา” ฉันพยักหน้าโดยยังพูดไม่ได้ เธอยิ้ม ตักดินจากกระถางดาวเรืองใบเล็ก ๆ ยื่นให้ฉันหนึ่งหยิบ
“แตะไว้ลูก เวลาหัวร้อน ให้เย็นก่อน”
ฉันวางดินบนหัว คราวนี้ช้าและตั้งใจ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ว่าความกลัวแปลงร่างเป็นน้ำได้ง่ายเพียงใด ในหางตา ฉันเหมือนเห็นเงาของใครบางคนยืนใต้ต้นโพธิ์มืด ๆ ชายผ้าถุงแกว่งเบา ๆ เหมือนเคยฉีกยิ้มให้หลานสาวในทุกเช้า เขย่ามือเหมือนบอกว่า ไม่เป็นไรแล้วนะลูก
ฉันรายงานตำรวจ วินที่บังทางไว้ยืนยันให้ มีคนเล่าว่าช่วงนี้มีรถเถื่อนรับผู้หญิงตอนกลางคืน และพาออกไปนอกเมือง ข่าวอาชญากรรมในโทรทัศน์ที่ฉันเคยได้ยินไกล ๆ กลายเป็นลมหายใจของฉันเอง แล้วฉันก็ยืนอยู่ที่นั่น หน้าแม่ธรณี หายใจเต็มปอดเป็นครั้งแรกของคืน
หลังคืนนั้น ฉันซื้อกล่องเหล็กใส่ชาเก่าจากร้านของเก่าในตลาดนัดวันอาทิตย์ ล้างจนเงาวับ พอกลับบ้าน ฉันเปิดระเบียง ตัดแต่งชวนชมให้มีดินใหม่ ดินที่ฉันซื้อมาจากแผงเล็ก ๆ ข้างวัด เช้าต่อมา ฉันเปิดฝากล่อง กลิ่นดินสดเหมือนดนตรีบรรเลงที่ไม่มีเสียงเครื่อง แค่ความเงียบที่มีจังหวะ
ฉันกลั้นใจ หยิบดิน นิดเดียว แตะกลางกระหม่อมเอ่ยคำทักที่ไม่เคยล้าสมัย “แม่ธรณีเอย อยู่แล้วหรือยัง… อยู่… สังขาตังโลกะวิธู” ถ้อยคำนี้ไม่ได้ทำให้ฉันกล้าหาญขึ้นในทันที แต่ทำให้ฉันนึกถึงน้ำหนักของพื้นใต้ฝ่าเท้าในทุกก้าวและนั่นก็พอ
ตั้งแต่นั้น ฉันออกจากบ้านด้วยพิธีเดิมทุกเช้า โลกยังคงคะนอง มีข่าวร้ายเกิดทุกวัน มีแสงเล็ก ๆ กะพริบ บางคืนฉันฝันว่าตัวเองเดินบนสะพานที่ทำจากเส้นผมของแม่ธรณี ยาวและเงางาม น้ำหยดออกจากปลายผมเป็นสายฝนตกเบา ๆ ลงในความมืด ฉันเดินไปเรื่อย ๆ โดยรู้ว่าจุดหมายอาจไม่ได้อยู่ข้างหน้า แต่อยู่ใต้เท้าทุกก้าว
ฉันไม่กล้าพูดว่าดินช่วยฉันรอด เมืองใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคุมคาถาได้ แต่ในคืนนั้นที่รถทรายเทแผ่นดินลงมาปิดทางนั้น ฉันได้ยินเสียงบางเสียงชัดเจนขึ้น เสียงที่ไม่ดัง แต่หนักเหมือนโลกทั้งใบ อยู่แล้ว เสียงที่ยืนยันว่า ถ้าเรายังเหยียบพื้น เราก็ยังไม่หล่นหายไปไหน
ฉันยืนหน้ากระจกยามเช้า วางดินบนหัว ยิ้
มทั้งน้ำตา รู้เพียงว่า ทุกครั้งที่ก้าวออกจากบ้าน ฉันไม่เคยเดินลำพัง ยายยังอยู่ในดินทุกเม็ดที่โอบอุ้มเท้าฉันเสมอ
จบ
เปิด 2 ข้อหาหนัก "ป้าแอน" แม่บ้านทคดีผสมเดทตอลในขวดนมเด็ก พบประวัติอาชญากรรมเมื่อปี 67
สหรัฐอาหรับประกาศถอนกำลังจากเยเมน หลังถูกซาอุดีอาระเบียโจมตี
เจาะสเปก กริเพน ทําไมกองทัพไทยถึงเลือกใช้
นรกแตกก่อนวันเซ็นสัญญา F16 ไทยบึ้มสะพาน คืนหมาหอน "ฮุนเซน" อกแตก แพ้หมดรูป จำยอมเซ็นสงบศึก
ภาพนี้ที่รอคอย !!! ทหารไทยนำตู้คอนเทนเนอร์ไปวางกั้นพรมแดนบ้านหนองจาน ตามเส้นเขตแดน 1:50000 เป็นที่เรียบร้อย
4 ราศีที่มีแนวโน้มมากที่สุด ที่จะซื้อบ้านและเปลี่ยนรถใหม่ในปี 2026
เขมรขอถก JBC ด่วน ยันไม่รับเส้นเขตแดน จากการใช้กำลังของไทย
เสน่ห์เหนือกาลเวลา: ตลาดพลู...สวรรค์แห่งอาหารและมรดกฝั่งธนบุรี
10 เลขฮิต "OK ล็อตเตอรี่" งวดวันที่ 2 มกราคม 69..ส่องก่อน รวยก่อน!!
หนุ่มหล่อที่สุดในโลกปี 2025 โดนแบนในจีน ภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง
"หนุ่ม กรรชัย" ฝากถึง "โดม ปกรณ์ ลัม" อย่าแพ้เสียงในหัว..เผยคำแบบไหนไม่ควรโพสต์ในโซเชียล
รถที่ลิซ่าใช้ ในโลกนี้มีแค่ 10 คันเท่านั้น
รายการในช่องโทรทัศน์ไทยที่ออกอากาศมายาวนานกว่าห้าสิบปี
นิสัยการกินแบบนี้แสดงว่าเริ่มแก่ สัญญาณการกิน ที่บอกว่า “เริ่มแก่
แม่บ้านเดทตอลมหาภัยถูกจับกลางรายการ ยืนยันไม่ได้ตั้งใจวางยาเด็ก เข้าใจผิดคิดว่าเป็นนม พร้อมขอโทษผู้เสียหาย



