หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

รสชาติของความรัก

เนื้อหาโดย อักษราลัย

รสชาติของความรัก

โดย อักษราลัย

 

          “คุณภูมิคะ มีประชุมด่วนกับลูกค้าตอนบ่ายสามนะคะ” 

 

          เสียงของเลขาฯ ดังแทรกเข้ามาในความคิด ผมละสายตาจากจานผัดกะเพราตรงหน้า กลิ่นหอมของใบกะเพรายังลอยอวลในอากาศของร้านข้าวแกงเล็ก ๆ ใกล้ออฟฟิศ กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ความทรงจำเก่า ๆ ไหลบ่าเข้ามา

 

          ภาพของครอบครัวเล็ก ๆ ที่เคยนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อในชุดวิศวกร แม่ในชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงิน และผมในชุดนักเรียนมัธยม

 

          “พ่อขอผัดกะเพราหมูกรอบจานใหญ่นะ” เสียงทุ้มของพ่อดังก้องในความทรงจำ “วันนี้พ่อหิวมาก ทำงานมาทั้งวัน”

 

          นั่นเป็นช่วงเวลาที่หายากมาก เพราะปกติพ่อจะออกไปทำงานตั้งแต่ตีห้า รถติดหนักมากในช่วงที่ผมเริ่มเข้ามัธยม พ่อต้องออกแต่เช้าเพื่อไปให้ทันประชุมที่โรงงานตอนแปดโมง กว่าจะกลับมาก็เกือบสองทุ่ม ผมมักจะหลับไปแล้ว ได้ยินแค่เสียงพ่อเปิดประตูห้อง เสียงน้ำไหลในห้องน้ำ และเสียงโทรทัศน์แผ่ว ๆ 

 

          “พรุ่งนี้ลูกสอบไม่ใช่เหรอ” เสียงแม่ถามในความทรงจำ “ตั้งใจอ่านหนังสือนะลูก”

 

          “ครับแม่” ผมตอบพลางตักข้าวเข้าปาก “แต่คณิตศาสตร์ยากจัง”

 

          “ไม่เป็นไร” พ่อวางช้อนลง หยิบกระดาษออกมา “มาลองทำโจทย์กับพ่อสักข้อไหม”

 

          นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมได้เรียนคณิตศาสตร์กับพ่อ พ่ออธิบายได้ดีมาก ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่โอกาสแบบนั้นมีน้อยนัก

 

          วันหยุดก็ไม่ต่างกัน พ่อมักจะต้องเข้าไปจัดการงานด่วนที่โรงงาน เครื่องจักรเสีย คนงานมีปัญหา หรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ กลับมาตอนดึก กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง แล้วนอนหลับไปจนถึงบ่ายวันอาทิตย์

 

          “ทำไมไม่อยู่บ้านบ้างล่ะคะ” แม่เคยถามพ่อด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ลูกก็อยากให้พ่อพาไปเที่ยวบ้าง เพื่อน ๆ คนอื่นได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่ทุกอาทิตย์”

 

          “พ่อทำงานหนักขนาดนี้ก็เพื่อครอบครัวนะ” พ่อตอบกลับเสียงห้วน “อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดี ๆ มีอนาคตที่ดี ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อ ไม่ต้องทำงานโรงงานแบบพ่อ”

 

          ผมไม่เคยเข้าใจความรักแบบนั้นของพ่อ จนกระทั่งผมเองก็เติบโตขึ้น เรียนจบวิศวะตามที่พ่อหวัง และได้งานทำในบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เงินเดือนดี สวัสดิการครบ แต่ต้องทำงานหนัก บางครั้งก็ต้องอยู่ออฟฟิศจนเที่ยงคืน

 

          “ภูมิ นายทำงานหนักเกินไปแล้วนะ” เอกพูดขณะที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันที่โต๊ะทำงาน เป็นมื้อเย็นที่สั่งเดลิเวอรี่มาเหมือนเคย “กลับบ้านไปพักบ้างสิ”

 

          “ไม่ได้หรอก งานเยอะ” ผมตอบพลางเซ็นเอกสาร “ต้องส่งรายงานพรุ่งนี้”

 

          “แล้วที่บ้านล่ะ ไม่ห่วงเหรอ”

 

          ผมชะงัก นึกถึงโทรศัพท์ที่ไม่ได้คุยกับพ่อมาเป็นเดือน วันเกิดแม่ที่ลืมโทรไปอวยพร และวันหยุดยาวที่ผ่านมาที่ผมเลือกจะอยู่ทำงานแทนที่จะกลับบ้าน

 

          “เดี๋ยวก็ได้กลับ” ผมตอบสั้น ๆ

 

          แต่โอกาสนั้นไม่มาถึง จนกระทั่งวันที่แม่ล้มป่วย

 

          “คุณภูมิคะ คุณพ่อโทรมา” เลขาฯ วิ่งเข้ามาในห้องประชุม สีหน้าตื่นตระหนก “คุณแม่คุณเข้าโรงพยาบาลค่ะ”

 

          ผมจำไม่ได้ว่าขับรถกลับบ้านได้อย่างไร รู้แค่ว่ามาถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดตอนเที่ยงคืน พบพ่อนั่งซึมอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

 

          “มะเร็งตับระยะสุดท้าย” หมอบอก “คนไข้ปิดบังอาการมานาน กว่าจะมาโรงพยาบาลก็สายไปแล้ว”

 

          “ทำไมแม่ไม่บอก” ผมถามพ่อ น้ำตาไหลพราก

 

          “แม่ไม่อยากให้ลูกกังวล” พ่อตอบเสียงสั่น “บอกว่าลูกกำลังยุ่งกับงาน”

 

          สองเดือนต่อมา แม่จากไปอย่างสงบในคืนที่ดวงดาวเต็มฟ้า ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มบาง ๆ และคำพูดสุดท้าย

 

          “ดูแลพ่อด้วยนะลูก”

 

          พ่อเกษียณในปีนั้นพอดี หลังจากทำงานมาสามสิบกว่าปี เงินเดือนสุดท้ายและเงินชดเชยถูกใช้ไปกับค่ารักษาพยาบาลของแม่เกือบหมด เหลือไว้แค่พอประทังชีวิตไปวัน ๆ

 

          ผมกลับมาอยู่บ้านสองอาทิตย์หลังงานศพ ก่อนจะต้องรีบกลับไปทำงานในกรุงเทพฯ ทิ้งพ่อไว้คนเดียวในบ้านหลังเก่าที่เงียบเหงา

 

          เราโทรคุยกันแค่เดือนละครั้งสองครั้ง บทสนทนาสั้น ๆ ที่ดูเหมือนทำตามหน้าที่มากกว่าความอยากคุย

 

          “สบายดีไหม”

          “สบายดี”

          “กินข้าวแล้วหรือยัง”

          “กินแล้ว”

          “ดูแลตัวเองด้วยนะ”

          “ครับ”

 

          “คุณป้าข้างบ้านบอกว่าพ่อไม่ค่อยออกไปไหน” น้าสาวโทรมาเล่าให้ผมฟัง “เห็นแต่นั่งดูทีวีอยู่คนเดียว บางทีก็เดินไปซื้อเหล้าที่ร้านข้างบ้าน”

 

          “เดี๋ยวผมจะโทรไปคุยกับพ่อ” ผมตอบ แต่ก็เลื่อนการโทรออกไปเรื่อย ๆ ด้วยข้ออ้างเรื่องงาน

 

          จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อน ผมได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลประจำจังหวัด พ่อล้มในห้องน้ำ หมอบอกว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน

 

          “พ่อของคุณมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย” หมอบอกผม “ต้องดูแลให้ดี อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว”

 

          ผมขอลาหัวหน้างานทันที แม้จะมีประชุมสำคัญกับลูกค้าต่างชาติ

 

          “จะไปได้ยังไง” หัวหน้าขมวดคิ้ว “โปรเจกต์นี้สำคัญมากนะ”

 

          “ผมขอโทษครับ แต่พ่อผมป่วย” 

 

          “งั้นฝากงานไว้กับเอกก่อนก็ได้” หัวหน้าถอนหายใจ “แต่อย่าลานาน เดี๋ยวงานคั่งค้าง”

 

          ผมขับรถฝ่าฝนที่กำลังตกหนักกลับบ้านที่ไม่ได้กลับมานานกว่าครึ่งปี ภาพความทรงจำวิ่งผ่านตาทีละฉากเหมือนกำลังดูฉากในภาพยนตร์ แต่นี่คือภาพยนตร์ชีวิตของผม ทั้งตอนที่พ่อสอนการบ้าน ตอนที่พ่อพาไปซื้อรองเท้านักเรียนคู่ใหม่ ตอนที่พ่อมางานรับปริญญาของผม ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน แต่วันนั้นมันฉายชัดออกมาจากดวงตาและรอยยิ้มกว้าง

 

          บ้านเก่า ๆ หลังนี้ดูเงียบเหงากว่าที่เคย ต้นไม้ที่แม่เคยปลูกเหี่ยวเฉา ใบไม้แห้งกรอบกองอยู่เต็มพื้น ในตู้เย็นมีแต่เบียร์กับน้ำเปล่า บนโต๊ะในครัวมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกองสูง และขวดเหล้าเปล่าหลายขวด

 

          “พ่อกินแต่นี่เหรอครับ” ผมถามพ่อที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว ดูผอมลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันมาก ผมสีดอกเลาเพิ่มขึ้นจนเกือบขาวโพลน

 

          “มันสะดวกดี” พ่อตอบเสียงแผ่ว “ไม่ต้องทำอะไรมาก”

 

          “ทำไมไม่บอกผมล่ะครับ ว่าพ่อทำกับข้าวไม่เป็น”

 

          “จะให้บอกยังไง” พ่อถอนหายใจ มองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนยังคงตกไม่หยุด “ตอนแม่ยังอยู่ พ่อก็ไม่เคยต้องทำอะไรเองเลย มัวแต่ทำงาน คิดว่าหาเงินให้มาก ๆ แล้วทุกอย่างจะดี... ตอนนี้... พ่อคิดถึงแม่”

 

          น้ำเสียงสั่นของพ่อทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบในอก นึกถึงตอนที่ตัวเองย้ายไปอยู่คอนโดคนเดียวใหม่ ๆ ก็เคยกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนกัน คิดถึงอาหารฝีมือแม่จนแทบบ้า 

 

          วันหนึ่งเอกชวนไปเรียนทำอาหารที่คอมมูนิตี้มอลล์ใกล้ออฟฟิศ

 

          “มึงจะกินบะหมี่ซองไปถึงไหน” เอกบ่น “มาเรียนทำอาหารกับกูดีกว่า อย่างน้อยก็ประหยัดกว่าสั่งเดลิเวอรี่ทุกมื้อ”

 

          ตอนแรกผมไม่อยากไป แต่พอได้ลองทำจริง ๆ กลับรู้สึกสนุกที่ได้ทำอาหารกินเอง และได้คุยกับเพื่อนร่วมคลาสคนอื่น ๆ ที่ต่างก็เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนกัน 

 

          “งั้นผมสอนพ่อทำกับข้าวนะครับ” พูดออกไปพลางเช็ดน้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมา “เริ่มจากผัดกะเพราก่อนไหม จำได้ว่าพ่อชอบกิน”

 

          ดวงตาของพ่อเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย “พ่อชอบกะเพราหมูกรอบของแม่” เสียงนั้นคล้ายละเมอ พ่อคงกำลังคิดถึงรสชาติเมนูนี้ของแม่

 

          “งั้นเดี๋ยวผมพาไปซื้อของก่อน ฝนเพิ่งหยุด”

 

          เราใช้เวลาเกือบชั่วโมงในซุปเปอร์มาร์เก็ต เลือกซื้อเนื้อหมู ใบกะเพรา กระเทียม พริก และเครื่องปรุงต่าง ๆ พ่อเดินช้า ๆ ข้าง ๆ ผม บางครั้งก็หยิบของผิด ผมต้องคอยบอกว่าอันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่

 

          “สมัยก่อนแม่จะซื้อหมูจากร้านขายหมูในตลาดนะ” พ่อเล่าขณะที่เราเลือกเนื้อหมู “แม่บอกว่าต้องดูให้ดี เลือกเนื้อที่ไม่มีมันเยอะ ถ้าจะทำหมูกรอบต้องเป็นสามชั้นที่มีมันพอดี ๆ”

 

          “พ่อจำได้ด้วยเหรอครับ” ผมแปลกใจ

 

          “พ่อชอบมองแม่ทำกับข้าว” พ่อยิ้มบาง ๆ “แต่ไม่เคยช่วย คิดว่าตัวเองต้องทำงาน หาเงิน... ตอนนี้นึกแล้วก็เสียใจ น่าจะใช้เวลากับแม่ให้มากกว่านี้”

 

          ระหว่างทางกลับบ้าน เราแวะร้านขายต้นไม้เล็ก ๆ พ่อเลือกซื้อต้นมะนาวกับต้นพริก

 

          “แม่เคยอยากปลูก” พ่อบอก “แต่พ่อบอกว่าไม่มีเวลาดูแล”

 

          กลับมาถึงบ้าน ผมเริ่มสอนพ่อตั้งแต่การหั่นหมู มือของพ่อที่เคยถนัดจับประแจและไขควงสั่นเล็กน้อยขณะถือมีด ผมต้องคอยประคองมือพ่อ สอนวิธีจับมีดให้ถูกต้อง

 

          “มือพ่อแข็งไปหมดแล้ว” พ่อบ่น “ไม่เหมือนตอนหนุ่ม ๆ”

 

          “ไม่เป็นไรครับ ค่อย ๆ ทำ” 

 

          การโขลกกระเทียมกับพริกทำให้พ่อไอไม่หยุด แต่ท่านก็ยังยืนยันจะทำต่อ 

 

          “ไม่เป็นไร” พ่อพูดทั้งที่น้ำตาไหล “ตอนเด็ก ๆ พ่อเคยเห็นยายโขลกน้ำพริก ท่านก็ไอแบบนี้แหละ แต่ก็ยังทำ บอกว่าความอร่อยต้องแลกมาด้วยความตั้งใจ”

 

          วิธีผัดให้หมูกรอบเป็นเรื่องยาก พ่อใส่น้ำมันมากไป แล้วก็กลัวน้ำมันกระเด็น ยืนผัดห่าง ๆ จนหมูไม่กรอบ เราต้องเริ่มใหม่ถึงสองครั้ง

 

          “พ่อว่าเราล้มเหลวแล้ว” พ่อทำหน้าเศร้า

 

          “ไม่หรอกครับ” ผมยิ้ม “จำได้ไหม ตอนผมหัดขี่จักรยานครั้งแรก ล้มไปกี่ที พ่อก็ไม่เคยบอกว่าผมล้มเหลว”

 

          พ่อหัวเราะเบา ๆ “จำได้ พ่อวิ่งตามจักรยานลูกไปทั้งซอย กลัวลูกจะล้ม”

 

          “แล้วผมก็ล้มจริง ๆ” ผมหัวเราะตาม “เข่าถลอกเป็นแผลใหญ่เลย”

 

          “ใช่” พ่อยิ้ม “แต่ลูกก็ไม่ร้องไห้ ลุกขึ้นมาขี่ใหม่จนได้... เอาล่ะ งั้นเราก็มาลองทำใหม่”

 

                    ครั้งที่สาม เราทำได้ดีขึ้น หมูกรอบพอดี ไม่ไหม้ ใบกะเพราหอมกรุ่น

 

          “ต้องชิมด้วยนะครับ ว่ารสชาติถูกปากหรือเปล่า” ผมบอกพ่อ

 

          พ่อตักช้อนแรกเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา 

 

          “อร่อยเหมือนที่แม่ทำเลย”

 

          “จริงเหรอครับ” ผมแปลกใจ “ผมว่ามันยังไม่เหมือนเลย รสชาติยังไม่กลมกล่อม พริกก็น้อยไป...”

 

          “ไม่ใช่รสชาติหรอก” พ่อตอบพลางเช็ดน้ำตา “แต่เป็นความรู้สึกตอนที่ได้กินอาหารที่คนที่รักทำให้ต่างหาก พ่อคิดถึงตอนที่เราเคยกินข้าวพร้อมหน้ากัน แม่ก็ชอบบ่นพ่อที่กินเผ็ดมาก แล้วก็คอยเติมน้ำให้ตลอด...”

 

          น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อพูดถึงความรู้สึกแบบนี้ ผมนั่งลงข้าง ๆ พ่อ กอดพ่อไว้แน่น ๆ รู้สึกถึงความผอมบางของร่างกายที่เคยแข็งแรง

 

          ระหว่างที่ล้างจาน ผมสังเกตเห็นสมุดเก่า ๆ เล่มหนึ่งในลิ้นชักครัว หน้าปกเป็นรูปการ์ตูนจาง ๆ มีคราบน้ำมันเปื้อนอยู่ตรงมุม พอเปิดดูก็พบว่าเป็นสมุดจดสูตรอาหารของแม่ ตัวหนังสือบางส่วนเลือนรางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังอ่านได้

 

          “นี่สมุดของแม่นี่ครับ” ผมยื่นให้พ่อดู

 

          พ่อรับไปพลิกดูอย่างทะนุถนอม เหมือนกำลังถือสมบัติล้ำค่า “แม่ชอบจดสูตรอาหารที่เราชอบกิน... จริง ๆ พ่อมีเรื่องจะบอกลูก”

 

          “ครับ?”

 

          “ตอนหนุ่ม ๆ พ่อเคยฝันอยากเปิดร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ” พ่อพูดพลางลูบสมุดสูตรอาหารเบา ๆ “ร้านข้าวแกงธรรมดา ๆ แบบที่พ่อกับแม่เจอกันครั้งแรกนั่นแหละ”

 

          “หมายถึงร้านป้าแดงเหรอครับ?” ผมถาม นึกถึงร้านข้าวแกงเก่าแก่ในตลาด ที่แม่เคยเล่าว่าเป็นที่ที่พ่อกับแม่เจอกันครั้งแรก

 

          “ใช่” พ่อยิ้ม “ตอนนั้นพ่อเพิ่งเรียนจบ ม.6 ไปสมัครงานที่โรงงาน แวะกินข้าวที่ร้านป้าแดง เจอแม่นั่งกินอยู่... แม่สวยมาก ใส่ชุดนักศึกษา กำลังอ่านหนังสือไปกินข้าวไป”

 

          “แล้วยังไงต่อครับ?”

 

          “พ่อก็แอบมองอยู่นาน จนป้าแดงทักว่า 'หนุ่ม จะกินอะไร หรือจะกินแต่ตากับสาวเขา'“ พ่อหัวเราะ “แม่หน้าแดง รีบก้มหน้ากินข้าว แต่พ่อเห็นว่าแม่ยิ้ม”

 

          “แล้วทำไมพ่อถึงไม่เปิดร้านล่ะครับ?”

 

          “ปู่ย่าไม่เห็นด้วย” พ่อถอนหายใจ “บอกว่ามันไม่มั่นคง เลยส่งพ่อเรียนวิศวะแทน... พ่อก็เลยทิ้งความฝันนั่นไป หันมาทำงานโรงงานแทน คิดว่าขอให้ได้เงินเดือนดี ๆ ก็พอ”

 

          “แล้วตอนนี้พ่อยังอยากเปิดร้านอยู่ไหมครับ?”

 

          “พ่อแก่แล้ว” พ่อส่ายหน้า “แต่ถ้าลูกจะเปิดร้าน พ่อจะช่วยทำครัว”

 

          ผมมองพ่ออย่างแปลกใจ นึกถึงความฝันของตัวเองที่อยากมีร้านอาหารเล็ก ๆ แต่ไม่กล้าลาออกจากงานประจำ เพราะกลัวความไม่แน่นอน กลัวจะผิดหวัง... เหมือนที่พ่อเคยรู้สึก

 

          “ร้านป้าแดงกำลังจะปิดนะครับ” ผมพูดขึ้น “ป้าแดงแก่มากแล้ว ลูก ๆ เขาก็ไม่มีใครอยากทำต่อ”

 

          “พ่อรู้” พ่อพยักหน้า “น่าเสียดายจัง...”

 

          “งั้น...” ผมหยุดคิดชั่วครู่ “เรามาซื้อต่อกันไหมครับ?”

 

          “ซื้อต่อ?”

 

          “ใช่ครับ” ผมพูดอย่างตื่นเต้น “ผมจะลาออกจากงาน เอาเงินเก็บมาลงทุน พ่อก็เอาประสบการณ์มาช่วย เราเปิดเป็นร้านข้าวแกงเล็ก ๆ เหมือนที่พ่อฝันไว้”

 

          “แต่...” พ่อทำท่าลังเล “งานที่กรุงเทพฯ ล่ะ?”

 

          “ผมเบื่อแล้วครับ” ผมตอบ “เบื่อที่ต้องทำงานจนดึก เบื่อที่ต้องอยู่ไกลบ้าน... เบื่อที่ต้องกินข้าวคนเดียว”

 

          พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “แล้วลูกจะไม่เสียดายเหรอ งานที่ทำมาตั้งนาน เงินเดือนก็ดี...”

 

          “เสียดายสิครับ” ผมยิ้ม “แต่ผมเสียดายเวลาที่เสียไปมากกว่า... เวลาที่น่าจะได้อยู่กับพ่อกับแม่ เวลาที่น่าจะได้ทำในสิ่งที่รัก”

 

          “แต่พ่ออายุมากแล้วนะ” พ่อยังกังวล “ไม่รู้จะช่วยลูกได้นานแค่ไหน”

 

          “งั้นเรามาฝึกทำอาหารด้วยกันให้เก่ง ๆ ก่อนนะครับ” ผมหยิบสมุดสูตรอาหารของแม่ขึ้นมา “ลองทำตามสูตรของแม่ทีละอย่าง แล้วค่อย ๆ วางแผนเรื่องร้านไปด้วย”

 

          รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพ่อ “เริ่มจากอะไรดี?”

 

          “กะเพราหมูกรอบที่เราเพิ่งทำยังไม่เหมือนของแม่เลย” ผมหัวเราะ “ลองทำใหม่พรุ่งนี้ไหมครับ?”

 

          ตั้งแต่นั้นมา ทุกเย็นวันศุกร์ ผมจะกลับมาหาพ่อที่บ้าน เราจะทำอาหารด้วยกัน ใช้สูตรจากสมุดของแม่เป็นแนวทาง บางครั้งก็ปรับเปลี่ยนตามใจชอบ

 

          บางครั้งอาหารก็ออกมาไม่อร่อย เค็มไป หวานไป แต่เราก็หัวเราะและลองทำใหม่ เหมือนตอนที่ผมหัดขี่จักรยาน ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม จนในที่สุดก็ขี่ได้

 

          ระหว่างที่ทำอาหาร เราคุยกันมากขึ้น พ่อเล่าเรื่องตอนที่ผมยังเด็ก เรื่องที่พ่อกับแม่เจอกันครั้งแรกที่ร้านข้าวแกง เรื่องความฝันที่พ่อเคยมี และเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่เคยได้เล่าให้กันฟัง

 

          ต้นมะนาวที่ปลูกไว้เริ่มออกลูก ต้นพริกก็ออกดอกสีขาวสวยงาม พ่อดูแลมันอย่างดี เหมือนที่แม่เคยทำ 

 

          สามเดือนผ่านไป ผมตัดสินใจลาออกจากงาน หัวหน้างานพยายามรั้งไว้ด้วยการขึ้นเงินเดือน แต่ผมปฏิเสธ

 

          “เสียดายนะ” เอกบอกในวันสุดท้ายของการทำงาน “แต่กูเข้าใจ บางทีความสำเร็จก็ไม่ได้วัดที่เงินในบัญชี”

 

          เราซื้อร้านป้าแดงต่อ ปรับปรุงนิดหน่อยแต่ยังคงความเป็นร้านข้าวแกงเก่าแก่ไว้ ป้าแดงดีใจที่ร้านจะยังอยู่ต่อไป แถมยังแอบกระซิบบอกสูตรพิเศษบางอย่างให้พ่อด้วย

 

          “แม่คงดีใจ” พ่อพูดในวันแรกที่เปิดร้าน ขณะที่กำลังผัดกะเพราหมูกรอบจานแรก “ที่ความฝันของพ่อเป็นจริงแล้ว”

 

          “แม่คงภูมิใจในตัวพ่อมากครับ” ผมตอบพลางวางจานข้าวให้ลูกค้าคนแรก “ที่พ่อกล้าเริ่มต้นใหม่ ถึงจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม”

 

          เสียงชายชราคนหนึ่งดังขึ้นจากโต๊ะลูกค้า “อร่อยเหมือนที่ป้าแดงทำเลย”

 

          พ่อยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย “ขอบคุณครับ”

 

          ผมมองพ่อแล้วอดยิ้มไม่ได้ บางทีความรักก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา มันแค่ซ่อนอยู่ในจานอาหารที่เราทำให้กัน ในความห่วงใยที่แสดงออกผ่านการกระทำ ในรอยยิ้มที่ส่งให้กันเมื่อทำอะไรสำเร็จ และในน้ำต

าที่ไหลออกมาเมื่อคิดถึงคนที่จากไป

 

          เหมือนที่แม่เคยเขียนไว้ในหน้าสุดท้ายของสมุดสูตรอาหารเล่มนั้น

 

          “ความอร่อยที่แท้จริง คือการได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับคนที่เรารัก และทำอาหารให้คนที่เรารักได้กิน”

 

          ~จบ~

.

เนื้อหาโดย: อักษราลัย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อักษราลัย's profile


โพสท์โดย: อักษราลัย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่าพบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"ปมปริศนาการจากไป! พ่อแม่ 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' อายัดศพ หลังทราบผลชันสูตรเปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปีแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต
คนเหงาและโดดเดี่ยวส่วนมากที่ไม่โสด🥺☹️การเดินทางที่ไม่สามารถที่จะระบุเวลาที่จะถึงได้ "แล้วแต่สถานการณ์ระหว่างทาง"ความรู้นั้นมีการรวบรวม ส่วนของวรรณกรรมและเรื่องราวความเป็นมา (ปราสาทหินพิมาย)"อย่าเดินเหยียบธรณีประตู" สิ่งที่ติดหูเรานั้นมาตลอด คำบอกเล่าจากยาย
ตั้งกระทู้ใหม่