เสียงที่ยังไม่จาง
ความฝันที่ยังเดินทางไปไม่ถึง เหน็ดและเหนื่อยจริง ๆ ขอมอบเรื่องนี้ให้เป็นแรงใจสำหรับคนที่สู้เพื่อฝันของตัวเอง
บางที...ชีวิตก็แค่ต้องการใครสักคน
ที่ยังเชื่อในวันที่เราไม่เหลือแรงที่จะเชื่อแล้ว
เสียงที่ยังไม่จาง
โดย อักษราลัย
เสียงฝนโปรยปรายเบา ๆ กระทบกับสังกะสีหน้าห้องซ้อมเก่า มันไม่ดังมากนัก แต่พอจะกลบเสียงเงียบของความพ่ายแพ้ในหัวใจได้
“พวกแก...นี่มันคงถึงเวลาจริง ๆ แล้วล่ะ”
ขลุ่ยเอ่ยเบา ๆ พลางลูบสายเบสด้วยปลายนิ้ว ขณะคนอื่น ๆ ยังไม่กล้าสบตากันตรง ๆ เหมือนคำพูดนั้นจะเป็นตราประทับสุดท้าย ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นวงดนตรีที่ล้มเหลวโดยสมบูรณ์
พวกเขามีชื่อ มีเพลง มีความฝัน มีคืนวันที่สว่างไสวอยู่ในหัว แต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ ไม่มีค่ายไหนรับ
วง “Jolly” จึงกลายเป็นแค่ลมหายใจเฮือกหนึ่งในห้องซ้อมย่านบางกะปิ ห้องที่กลิ่นเคลือบไม้ผสมกับกลิ่นเหงื่อและเสียงของใจ ยังลอยอวลไม่จาง
“ขอซ้อมอีกสักรอบได้ไหม”
เสียงนั้นเบาเกือบกลืนไปกับเสียงฝน แต่เพื่อนทั้งสามคนในห้องก็หันมาพร้อมกัน พอ ๆ กับความงุนงงและเจ็บปวดในแววตา
มะปรางยิ้มบาง ๆ เธอจับไมโครโฟนแน่น เหมือนกำลังจับเส้นเสียงของตัวเองไว้ไม่ให้หล่นหายไปกับความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมา
“ขอซ้อมอีกสักรอบได้ไหม”
คำพูดนั้นไม่ใช่การขอร้อง แต่เหมือนการปิดประตูบางบานที่ยังปิดไม่สนิท และอยากเปิดออกอีกครั้งแม้เพียงนาทีเดียวก็ยังดี
ไม่มีใครตอบ แต่ขลุ่ยวางเบสลงบนตัก เต้ยเริ่มนับจังหวะบนกลองใบเล็ก ขณะที่หมอกละอองในห้องซ้อมสะท้อนแสงหลอดฟลูออเรสเซนต์บางเบา
เสียงกีตาร์ขึ้นโน้ตแรก มะปรางเริ่มร้อง เธอหลับตา แล้วเสียงของเธอก็เดินทางออกไปกลางห้องเล็ก ๆ นั้น ไม่ได้เดินทางไปหาค่ายเพลง ไม่ได้มุ่งหน้าไปหาความฝันที่กำลังพัง แต่เหมือนเดินทางย้อนกลับเข้าไปในหัวใจของพวกเขาเอง
…ที่ซึ่งดนตรีไม่เคยหมดอายุ
เมื่อท่อนสุดท้ายจบลง ไม่มีใครพูดอะไร มะปรางนั่งลงบนขอบตู้แอมป์ หอบหายใจเบา ๆ คล้ายว่าเสียงในอกยังไม่ยอมจาง
พวกเขานั่งอยู่อย่างนั้น ในห้องที่เงียบกว่าทุกครั้ง
จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าแผ่ว ๆ เดินเข้ามา ใครบางคนยืนอยู่ที่ประตูห้องซ้อม ชายหนุ่มตัวสูงในเสื้อยืดลายแปลก ๆ ยืนพิงขอบบานไม้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นก่อนเสียงพูด
“เพลงของใครน่ะ?”
ทุกคนหันไปมองอย่างงุนงง ขลุ่ยตอบก่อนโดยอัตโนมัติ “ของพวกเราครับ”
ชายคนนั้นยิ้มแล้วเดินเข้ามา เขาหยิบกระป๋องน้ำอัดลมที่วางไว้หน้าตู้แอมป์แล้วนั่งลงข้างมะปราง
“ดีนะ” เขาว่า พลางจิบเบา ๆ “ยังไม่มีค่ายใช่ไหม?”
เต้ยมองหน้ามะปราง ก่อนจะพยักหน้า “ยังไม่มีครับ แล้วก็คงไม่มีอีกต่อไปแล้ว นี่คงเป็นการซ้อมครั้งสุดท้ายของพวกเรา”
ชายหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ เหมือนเข้าใจในทุกคำพูด แม้จะไม่ได้ยินทั้งหมด “งั้นเดี๋ยวเราช่วยทำให้เอง”
ห้องทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง เงียบกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เงียบจนเสียงน้ำฝนข้างนอกกลายเป็นฉากหลังของความไม่เชื่อ
“พี่เป็นเจ้าของที่นี่ใช่ไหมคะ?” มะปรางถามเสียงแผ่ว
“อืม ชื่อภัทรนะ เรียกพี่ภัทรก็ได้”
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีเหตุผล ไม่มีเอกสาร ไม่มีข้อเสนอ มีเพียงน้ำเสียงนิ่ง ๆ ของชายคนหนึ่งที่มองเห็นแสงสว่างในที่ที่ทุกคนยอมรับว่ามืดมิด
เขาหยิบกระเป๋าผ้าขึ้นมา แล้วควักซองบาง ๆ ออกมาหนึ่งซอง “เดโมอยู่ไหน เอามาให้พี่ฟัง”
มือของเต้ยสั่นเล็กน้อยตอนยื่นแผ่นซีดีให้ เขาไม่แน่ใจว่าคนแปลกหน้าตรงหน้าจริงจังแค่ไหน หรือแค่พูดไปอย่างนั้น
แต่เขายื่นมันไป เพราะที่เลวร้ายที่สุดก็แค่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่ง...ก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน
—-----------
สองเดือนผ่านไป พวกเขายังไม่กล้าคิดว่ามันจริง ราวกับอยู่ในความฝันที่ยังไม่อยากตื่น
ห้องซ้อมเดิมกลายเป็นห้องอัด เสียงหัวเราะที่เคยขมขื่นกลายเป็นเสียงจริงจังของการแก้เนื้อเพลง อัดซ้ำ ลบใหม่ ซ้อมอีก ซ้อมอีก จนคำว่า “ฝัน” เริ่มเปลี่ยนสถานะเป็น “เป็นไปได้”
พี่ภัทรไม่พูดมาก ไม่ชม ไม่เร่ง แต่ใส่ใจทุกครั้งที่มะปรางร้องผิด ทุกโน้ตที่เบสไม่ตรง เขาไม่เคยพูดว่าต้องไปให้ถึงตรงไหน แค่พูดเสมอว่า “พวกเรากำลังทำของจริง”
—--------
วันที่ฝนไม่ตก ฟ้าเปิดจนน่าแปลกใจ มะปรางนั่งอยู่ที่ขอบเวทีในห้องเล็ก ๆ
ในมือของพี่ภัทรมีแผ่นซีดีบรรจงใส่ซองผ้า เขาจะเอาไปส่งค่ายด้วยตัวเอง พร้อมงานของตัวเองที่ยังไม่มีแม้แต่เดโมสมบูรณ์
“ถ้าเขาไม่เอา...”
“ก็ไม่เป็นไร” พี่ภัทรพูดก่อนเธอจะพูดจบ “แค่ให้เขาฟัง แค่นั้นก็พอ”
—------
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
มะปรางเห็นชื่อบนหน้าจอแล้วขนลุก — พี่ภัทร
“เขาชอบ”
เธอไม่เข้าใจในทันที หัวใจตีกลับเร็วเกินไป
“ค่าย เขาชอบงานของพวกเรา เขาบอกให้ไปเซ็นสัญญา”
เธอเงียบอยู่นาน แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างช้า ๆ เงียบ ๆ ไม่มีเสียงโห่ร้อง ไม่มีอาการดีใจสุดขีด มีแค่น้ำตาของคนที่เคยกำลังจะเลิกล้ม แล้วมีใครสักคนมาเชื่อในช่วงวินาทีที่เธอไม่เหลือความเชื่อในตัวเองอีกเลย
—----
หลายปีผ่านไป
เพลงของพวกเขา ถูกเปิดบนเวทีใหญ่ ถูกฮัมตามในห้องน้ำของใครบางคน ถูกแชร์วนไปมาในหลายแอป นี่คือการเปลี่ยนหน้าคนธรรมดาให้มีผู้ติดตามเป็นหมื่น
วงดนตรีเล็ก ๆ ที่เคยเกือบล้ม ยืนขึ้นได้ เพราะมือของใครบางคนที่ยื่นมาในวันที่พวกเขาแทบไม่เหลือแรงจะยืน
พี่ภัทรไม่ชอบขึ้นเวที ไม่ชอบแสงไฟจ้า เขานั่งอยู่หลังเวทีเสมอ มักถือขวดน้ำให้พวกเขา มักยิ้มแล้วตบบ่าพูดแค่ว่า “วันนี้เจ๋งดี”
วันที่คอนเสิร์ตครบรอบ 10 ปีของวงจบลง มะปรางนั่งอยู่ที่บันไดข้างเวที
เธอหลับตา ปล่อยให้เหงื่อและน้ำตาไหลลงมาปะปนกัน แล้วได้ยินเสียงฝีเท้าเงียบ ๆ เข้ามาใกล้
พี่ภัทรยื่นขวดน้ำให้ แล้วพูดเบา ๆ
“เห็นไหม เราทำได้”
เธอยิ้ม “เพราะพี่เชื่อก่อนที่หนูจะกล้าเชื่อตัวเองด้วยซ้ำ”
ในโลกที่เต็มไปด้วยคำว่า “ไม่” “พอแล้ว” และ “ไม่มีทาง”
บางคนอย่างพี่ภัทร อาจเป็นเพียงเสียงเบา ๆ ที่พูดว่า “ลองอีกครั้งไหม”
…… จบ …..
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"



