"ซอมบี้" จากตำนานวูดูสู่โลกชีวะ?!
ต้นกำเนิดซอมบี้ในเฮติ ระหว่างไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ซอมบี้ในประวัติศาสตร์ ต้นกำเนิดจากเฮติ
เรื่องราวของซอมบี้ที่แท้จริงในประวัติศาสตร์มนุษย์ พาเราย้อนไปที่ ประเทศเฮติ ในยุคของการค้าทาสช่วงปี ค.ศ. 1697 ชาวแอฟริกันตะวันตกจำนวนมากถูกนำมาที่อาณานิคมแซง โดแมง (ปัจจุบันคือเฮติ) เพื่อใช้แรงงานทาส พวกเขาถูกกดขี่อย่างหนัก ทำให้ความตายกลายเป็นหนทางเดียวสู่การปลดปล่อยวิญญาณกลับสู่แอฟริกา
ความเชื่อเรื่อง ศาสนาวูดู เข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของทาส แม้ว่าวูดูจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาทั่วไป แต่ก็มีพิธีกรรมบางอย่างที่ใกล้เคียงกับ "มนต์ดำ" บุคคลที่เรียกว่า "โบกอร์" (Bokor) คือผู้ประกอบเวทมนตร์นอกกรอบประเพณีหลัก เชื่อกันว่าโบกอร์มีอำนาจในการปลุกคนตายให้กลายเป็นซอมบี้เพื่อใช้งาน
การทำให้กลายเป็นซอมบี้ หรือ "ซอมบิฟิเคชัน" (Zombification) ตามความเชื่อพื้นบ้าน มีหลายขั้นตอน เริ่มจากการทำให้เหยื่อ "ตาย" ก่อน โดยใช้เวทมนตร์ คาถา หรือแม้กระทั่งยาพิษชนิดพิเศษที่เรียกว่า "ผงซอมบี้" เมื่อเหยื่อเสียชีวิตและถูกฝัง โบกอร์จะกลับมาขุดศพภายใน 8 ชั่วโมง เพื่อขโมยวิญญาณส่วนที่ควบคุมบุคลิกภาพและความตั้งใจ ทำให้ร่างนั้นฟื้นคืนชีพโดยไม่มีสติสัมปชัญญะ สามารถถูกสั่งการให้ทำงานได้ตลอดไป ซึ่งทาสยุคนั้นหวาดกลัวโบกอร์อย่างมาก เพราะการตายแล้วถูกดึงกลับมาเป็นทาสรับใช้ถือเป็นโชคชะตาที่เลวร้ายที่สุด
ซอมบี้ในตำนานพื้นบ้านของเฮติมีลักษณะเฉพาะคือ ร่างกายยังค่อนข้างสมบูรณ์ ไม่เน่าเปื่อยเหมือนในภาพยนตร์ ดวงตาเหม่อลอย ไม่พูดจาสื่อสาร ไร้ความทรงจำ บุคลิกภาพ และเจตจำนงเสรี ที่สำคัญคือ ไม่กินเนื้อคน แต่จะกินอาหารปกติที่คนจัดหามาให้ โดยทั่วไปแล้วซอมบี้เหล่านี้ไม่ได้อันตราย แต่มีความเชื่อว่าหากซอมบี้ได้ลิ้มรส เกลือ จะทำให้ได้สติและความทรงจำกลับคืนมา และอาจทำร้ายโบกอร์หรือกลับไปสู่หลุมศพเพื่อตายอย่างแท้จริง
วิวัฒนาการของความเชื่อ จากตำนานสู่ภาพจำสมัยใหม่
การเดินทางของเรื่องราวซอมบี้จากเฮติไปยังวัฒนธรรมกระแสหลักเกิดขึ้นเมื่อทหารอเมริกันที่เข้ามายึดครองเฮติในช่วงปี 1915-1934 ได้นำเรื่องเล่าลึกลับของ "ศพที่เดินได้" กลับไปเล่าในบ้านเกิด ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์ในสื่อต่าง ๆ และทำให้ซอมบี้กลายเป็นภาพจำที่เราคุ้นเคยในภาพยนตร์และเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพลักษณ์ของซอมบี้ที่แพร่เชื้อได้จากการกัดกิน ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมของซอมบี้เฮติอย่างสิ้นเชิง มีคำอธิบายว่าในทางชีววิทยา มีปรากฏการณ์ที่สิ่งมีชีวิตที่เป็นปรสิตเข้าไปควบคุมร่างกายของโฮสต์ (สิ่งมีชีวิตที่ถูกอาศัย) ให้ทำบางอย่างเพื่อแพร่กระจายปรสิตนั้น เช่น การจามของคนเป็นหวัด เป็นกลไกที่ไวรัสใช้ร่างกายมนุษย์เป็นเครื่องมือในการแพร่เชื้อ ซึ่งคล้ายกับการควบคุมของปรสิตต่อโฮสต์ แต่ในกรณีของมนุษย์ เราไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวตนไป 100%
การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ผงซอมบี้และกล้ามเนื้อแข็งตัว
แม้เรื่องราวของซอมบี้ในเฮติจะดูเหมือนไสยศาสตร์ แต่ก็มีนักวิชาการพยายามหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ผงซอมบี้ ในปี 1982 คุณเวด เดวิส (Wade Davis) นักชาติพันธุ์พฤกษศาสตร์ ได้ลงพื้นที่เฮติเพื่อตรวจสอบข่าวลือเกี่ยวกับคนกลายเป็นซอมบี้ กรณีที่โด่งดังคือ คุณแคลอุส นาร์ซิส (Clairvius Narcisse) ซึ่งเสียชีวิตในปี 1962 แต่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในอีก 16 ปีต่อมา พร้อมเล่าว่าถูกหมอผีนำร่างไปทำซอมบี้และใช้แรงงานในไร่
เดวิส สันนิษฐานว่า "ผงซอมบี้" น่าจะมาจากสารเคมีบางอย่าง ไม่ใช่ไสยศาสตร์ล้วนๆ โดยเชื่อว่าสารพิษนั้นมาจาก ปลาปักเป้า ซึ่งมีสารชื่อ เตโตรโดทอกซิน (Tetrodotoxin หรือ TTX) สารนี้เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อหยุดสื่อสารกัน ทำให้ขยับไม่ได้ หายใจรวยริน และอาจดูเหมือนตายได้ และเมื่อฟื้นขึ้นมา อาจมีการใช้สารพิษจากพืช เช่น ดอกลำโพง เพื่อให้ผู้ที่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในสภาวะสะลึมสะลือ ไม่มีสติสัมปชัญญะ สามารถถูกควบคุมให้ทำงานได้เหมือนทาส
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทางเคมีของผงซอมบี้ที่พบ ไม่เคยเจอสารเตโตรโดทอกซิน การกะปริมาณยาพิษจากธรรมชาติให้พอดี เพื่อให้คนแค่เหมือนตายแต่ไม่ตายจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก และการฝังศพไว้ 8 ชั่วโมง ในดินก็เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนและตายจริง
ปรากฏการณ์ทางกายภาพของศพ ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ซอมบี้จะฟื้นคืนชีพและขยับตัวได้ตามปกติ หลังการตาย ร่างกายจะผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น เพลอร์ มอร์ทิส (Pallor mortis) ผิวซีดเพราะเลือดไม่ไหลเวียน อัลกอร์ มอร์ทิส (Algor mortis) ร่างกายเย็นลง และที่สำคัญคือ ริกอร์ มอร์ทิส (Rigor mortis) หรือภาวะกล้ามเนื้อแข็งตัว ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 2 ชั่วโมงแรกหลังจากเสียชีวิต เนื่องจากไม่มีพลังงานไปปั๊มแคลเซียมออกจากเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งและแข็งค้างไปทั่วร่างกาย หากเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ซอมบี้ที่ฟื้นคืนชีพมาจะไม่สามารถขยับตัวได้เลย
นอกจากนี้ การตรวจสอบ DNA ของผู้ที่อ้างว่าเป็นญาติที่กลับมาจากการเป็นซอมบี้ ส่วนใหญ่พบว่าเป็นคนละคนกัน บ่งชี้ว่าผู้ที่สูญเสียคนรักอาจจะโศกเศร้าจนอยากให้คนรักกลับมา และความเชื่อเรื่องซอมบี้ที่มีอยู่แล้วในวัฒนธรรม ทำให้พวกเขาสรุปว่าคนแปลกหน้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและอาจมีอาการทางจิตเวช คือญาติที่กลับมาจากสภาพซอมบี้
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าตำนานซอมบี้เฮติจะน่าสนใจ แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว โอกาสที่จะเกิดซอมบี้ในมนุษย์จริงๆ ในลักษณะที่ฟื้นคืนชีพและเคลื่อนไหวได้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ความเชื่อและเรื่องเล่าเหล่านี้ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์




















