จุดอ่อนของการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
หลายคนน่าจะเคยได้ยินการทดลอง Marshmellow Test เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ที่นำเด็กวัย 3 ขวบครึ่งถึง 5 ขวบครึ่งมานั่งอยู่ในห้องคนเดียว ตรงหน้ามีขนมมาร์ชเมลโล่ โดยเลือกได้ว่าจะกินมันทันที หรือถ้ายอมอดทนรอ 15 นาที พี่ๆ นักวิจัยก็จะเอามาร์ชเมลโล่มาเพิ่มให้อีก 1 ชิ้น
จากการทดลองพบว่า มีเด็กๆ 1 ใน 3 ที่รอจนครบ 15 นาที หลังจากผ่านไปประมาณ 20 ปี นักวิจัยก็กลับมาติดตามผลของเด็กๆ กลุ่มนี้ แล้วก็พบว่าเด็กที่อดทนรอได้มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง รับมือกับความเครียดได้ดี และสอบได้คะแนน SAT ได้สูงกว่าเด็กอีกกลุ่มที่รอไม่ได้
ผลสรุปของการทดลองนี้ก็คือ คนที่มี willpower และสามารถ "อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" หรือ delayed gratification นั้นมีโอกาสที่จะมีอนาคตที่ดีกว่า
-----
สำหรับคนที่ชอบอ่านหนังสือ How-to หนังสือการลงทุน หนังสือวางแผนการเงิน เกือบทุกเล่มก็จะเน้นย้ำความสำคัญของการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
เราควรทำงาน Q2 คือสิ่งทำสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน เพื่อที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้
เราลงทุนในวันนี้ เพื่อจะมีเงินใช้ในวัยเกษียณ
เราควรออกกำลังในวันนี้ เพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า
เราควรสรรหาความรู้ เข้าสัมมนา เพื่อเป็นการ "ลงทุนกับตัวเอง" เพื่อจะเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของเราในอนาคต
ผมเองก็เชื่อแนวคิดนี้มาโดยตลอด เพราะมันก็ช่วยให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นได้จริงๆ ทำงานอย่างขยัน ใช้เงินอย่างประหยัด เป็นคนวินัยเพื่อจะสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
-----
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผมยกให้หนังสือ Four Thousand Weeks ของ Oliver Burkeman เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2022 ก็เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมเห็นจุดอ่อนของ Q2 และทำให้ผมเขียนบทความชื่อ "5 กับดักของคน Productive"
โดยกับดักข้อที่ 5 ผมเขียนเอาไว้ว่า "วันนี้จะถูกใช้เพื่อวันข้างหน้าเรื่อยไป"
เมื่อเราอยาก “ใช้เวลาให้คุ้มค่า” เราจะมองทุกอย่างด้วยสายตาของนักลงทุน เราจะทำอะไรบางอย่างในตอนนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่างในอนาคตเสมอ
เราออกไปวิ่ง เพื่อจะทำเวลาได้ดีในการแข่งขัน
เราอ่านหนังสือ เพื่อจะได้เอาไปเขียนบล็อกหรือเล่าในพอดแคสต์
เราพักผ่อน เพื่อที่เราจะได้มีแรงกลับไปทำงานอย่างเต็มที่
เราแทบไม่เคยจะวิ่งเพื่อวิ่ง อ่านหนังสือเพื่ออ่านหนังสือ หรือพักผ่อนเพื่อพักผ่อนเลย
เพราะมันคือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน มันคือการยอมแลก “วันนี้” เพื่อ “วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า”
ซึ่งเราทำแบบนี้มานานหลายสิบปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าเราจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบจนสิ้นอายุขัย
แต่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า วันที่เราจะมีเงินเก็บมากพอ วันที่ to-do list เราจะเป็นศูนย์ วันที่เราจะรู้สึกว่า “เอาอยู่” แล้วและพร้อมที่จะเริ่มใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากให้เป็นจริงๆ นั้นมันไม่เคยมาถึง และอาจไม่มีวันมาถึง
ดังนั้นให้ระวังตรงนี้ให้มาก ถอดแว่นตาของนักลงทุนออกเสียบ้าง ไม่ต้องทำอะไรเพื่อวันพรุ่งนี้ไปเสียทุกอย่าง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราเหลือวันพรุ่งนี้อีกกี่วัน
-----
คนที่ใช้ชีวิตด้วยการมี delayed gratification มาจนชิน มักจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขในวันนี้ เพราะต้องการสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
แต่เรามักจะลืมไปว่า ประสบการณ์บางอย่าง หรือเรื่องบางเรื่องนั้นมันไม่สามารถผัดผ่อนไปได้ตลอด
การจะมีประสบการณ์บางอย่างนั้นต้องใช้องค์ประกอบ 3 อย่าง คือเงิน เวลา และสุขภาพ
ยกตัวอย่างที่สุดโต่งหน่อยเช่นการเล่นสกี
สำหรับคนไทย สกีฟังดูเป็นกีฬาที่ไกลตัวไปหน่อย แต่ผมโชคดีที่ช่วงมัธยมปลายได้ไปเรียนนิวซีแลนด์อยู่ 3 ปี และได้ไปเล่นสกี 3 ครั้ง เหตุผลที่ไม่ได้ไปมากกว่านี้เพราะไม่มีเงิน และหลังจากกลับจากนิวซีแลนด์ในปี 1997 ผมก็ไม่เคยได้เล่นสกีอีกเลย แม้ช่วงที่ทำงานใหม่ๆ จะมีโอกาสไปจอยทริปสกีแต่ก็ตัดสินใจไม่ไปเพราะเสียดายเงิน ขอเก็บตังค์ก่อนดีกว่า (delayed gratification!)
วันนี้ผมมีเงินเก็บมากพอที่จะไปทริปสกีได้ แต่อาการเจ็บเข่าเรื้อรังที่ผมได้จากการเตะบอลเมื่อ 10 ปีที่แล้วทำให้ผมไม่มั่นใจว่าจะเล่นสกีได้อีกต่อไป
ประสบการณ์บางอย่างถ้าเราผัดผ่อนมันไป เราอาจจะพลาดโอกาสนั้นไปตลอดชีวิต ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อมันไม่ได้แล้วเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย
-----
นอกจากสามปัจจัยอย่างเงิน เวลา และสุขภาพแล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือคนในครอบครัวของเรา
ในวันที่มีเงินเก็บมากมาย แต่ถ้าคนสำคัญของเราเขาไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว เราก็ไม่อาจจะซื้อประสบการณ์นั้นได้อีก ไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ก็ตาม
สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ผมจะพูดเสมอว่า อย่านับว่าพ่อแม่จะอยู่กับเราอีกกี่ปี แต่ให้นับว่าเราจะมีโอกาสได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกกี่หน
เมื่อพูดถึงพ่อแม่ จะไม่พูดถึงลูกก็ไม่ได้
วัยสี่สิบกว่า เป็นช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงาน หลายคนได้เป็นผู้จัดการหรือผู้บริหาร และเรามักจะให้ความสำคัญกับงานจนบางทีก็รู้สึกรำคาญเวลาที่ลูกมาก่อกวนสมาธิ (แล้วค่อยมารู้สึกตัวและรู้สึกผิดทีหลัง)
ที่อาจทำให้เรารู้สึกผิดไปกว่านั้น คือเวลาว่างเสาร์อาทิตย์ (เช่นตอนที่ผมเขียนบทความนี้เป็นต้น!) เราก็ยังเอาเวลามาหารายได้เสริมหรือสร้างอนาคต แล้วทำให้เราเสียโอกาสที่จะใช้เวลากับลูกไปอีกเช่นกัน
อาจเพราะงานมีเส้นตาย แต่ลูกของเราอยู่ตรงนี้แบบไม่มีเส้นตาย แต่ขอให้อย่าลืมว่าลูกของเราจะอายุ 6 ขวบอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น เมื่อเขาโตไปกว่านี้ เขาก็จะห่างอ้อมอกไปเรื่อยๆ ดังนั้นการใช้เวลากับลูกในวันที่เขายังต้องการเราที่สุดนั้นก็มีเวลาจำกัดเช่นกัน
-----
เรื่องของ Marshmellow test ยังไม่จบ
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2018 ของ Tyler Watts, Greg Duncan และ Haonan Quan ได้นำการทดลองนี้มาปัดฝุ่นใหม่ เพราะงานวิจัยเก่านั้นทำกับกลุ่มเด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ต่างกันมากนัก
ในการทดลองครั้งใหม่ Watts และเพื่อนๆ ทำการทดลองนี้อีกครั้งกับเด็กถึง 900 คน และเมคชัวร์ว่าเด็กๆ เหล่านี้มาจากพื้นเพที่หลากหลาย รวมถึงเด็กที่มีฐานะทางบ้านไม่ได้ดีมากนักด้วย
ผลที่ได้จากการทดลองก็คือ มันไม่ได้เกี่ยวกับ willpower แต่เกี่ยวกับ money
เด็กที่ฐานะยากจนกว่านั้นมีแนวโน้มสูงที่จะกินมาร์ชเมลโล่ทันที เพราะประสบการณ์สอนให้เด็กกลุ่มนี้รู้ว่าพรุ่งนี้อาจไม่มีข้าวกิน และคำพูดของผู้ใหญ่บางคนนั้นเชื่อถือไม่ได้
ในขณะที่สำหรับเด็กที่มีฐานะดีกว่านั้นมันตรงกันข้าม เพราะเขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่คาดการณ์ได้ ที่บ้านของเด็กเหล่านี้อาหารไม่เคยขาดแคลน และผู้ใหญ่ก็เป็นคนรักษาคำพูด ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถอดใจรอ 15 นาทีเพื่อจะได้มาร์ชเมลโล่ว์ชิ้นที่สอง
Delayed gratification นั้นยังมีประโยชน์อย่างแน่นอน แต่อาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี
-----
สำหรับใครที่ใช้ชีวิตเพื่อวันพรุ่งนี้มานาน ผมว่าเราควรกลับมาใส่ใจการใช้ชีวิตในวันนี้ให้มากขึ้น
เราไม่จำเป็นต้องรอให้เราสำเร็จทุกอย่างก่อนจะอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข
สำหรับคนที่ชีวิตเดินมาเกินครึ่งทาง การเลือกกินมาร์ชเมลโล่แค่ชิ้นเดียวในวันนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการรอไปอีกสิบหรือยี่สิบปีเพื่อโอกาสจะได้มาร์ชเมลโล่ชิ้นที่สอง
เพราะถึงตอนนั้นเราอาจกินมาร์ชเมลโล่ไม่ไหว หรือคนที่เราอยากกินมาร์ชเมโล่ด้วยเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้วครับ
อ้างอิง Anontawong's Musings













