หลงกามารมณ์
จงรักด้วยสมอง
แต่อย่ารักจนขี้นสมอง
เมื่อพูดถึงความรัก มักมีเรื่องของความหลงเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่คนเราหลงกันอยู่ทุกคืนทุกวัน ดูจากหนัง จากละคร จากเพลง หรือจากปกในหน้าหนังสือพิมพ์ ก็จะพบว่า เรื่องกามารมณ์ มีอยู่คู่ชาติ ความหลงที่เราอาศัยกันอยู่คือ หลงกามารมณ์ คือหลงสนองกิเลสทางตา ทางหู ทางกาย ใจ หรือหลงรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส และความคิดฟุ้งเฟ้อ
ตัวอย่างเรื่องของความหลงกามารมณ์ก็คือ ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่ง ตอนเช้าออกไปบิณฑบาตกับพระภิกษุสหายที่เพิ่งบวชใหม่เหมือนกัน และในวันนั้นมีหญิงงามที่สุดในประเทศอินเดียมาตักบาตรด้วย นางชื่อ สิริมา วันที่มาตักบาตรนั้นเป็นวันที่นางป่วยหนักตัวซีดเผือด ครั้นพอนางหยิบกับข้าวตักบาตร พระภิกษุใหม่รูปนั้นมองเห็นมือที่สวยงามของนางสิริมา ก็เกิดหลงรักพอกลับถึงวัด พระรูปนั้นก็วางบาตรไว้บนเตียงแล้วนอนป่วยทันที ไม่ยอมฉันอาหารใดๆ
ผ่านไปสามวันสามคืน จนเพื่อนมาเห็น ภิกษุผู้เป็นสหายสนิทจึงเอ่ยถามว่า “ท่านเป็นอะไร เหตุใดถึงได้อาพาธกะทันหันเช่นนี้”พระรูปนั้นก็บอกว่า “ถ้าท่านอยากจะให้ผมหายอาพาธ ท่านช่วยไปเชิญโยมสิริมาให้มาเยี่ยมผมหน่อย”ภิกษุผู้เป็นสหายก็เข้าใจทันที “อ๋อ ท่านติดใจความงามของโยมสิริมาหรือนี่” ขนาดวันนั้นนางสิริมาป่วยหนักยังมีเสน่ห์รัดรึงตรึงใจผู้อื่นได้ขนาดนั้น
จากนั้นไม่กี่วัน นางสิริมาก็เสียชีวิต พระพุทธเจ้ามีรับสั่งให้เก็บศพนางไว้หนึ่งอาทิตย์ แต่พระภิกษุรูปนั้นไม่ทราบข่าวการเสียชีวิตของนางเลย ยังคงป่วยหนักเพราะพิษศรรักปักทรวง
ไม่นานศพนางสิริมาที่วางอยู่บนเชิงตะกอนก็ขึ้นอืด พวกหนอน พวกน้ำเหลือง เมือกไคล ต่างไหลออกจากทวารทั้งเก้า ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งออกไปทั่ว พอครบเจ็ดวันพระพุทธองค์เสด็จมาที่สุสาน พร้อมทั้งพระราชามหากษัตริย์ ประชาชนทั่วทั้งเมืองไปร่วมงานด้วย แต่ก่อนหน้าที่จะเสด็จไปงานศพ พระพุทธองค์มีรับสั่งให้พระรูปนั้นไปด้วย พระรูปนั้นพอเพื่อนไปบอกว่า “นี่ท่านพระพุทธองค์จะไปเยี่ยมนางสิริมา ท่านจะไปด้วยไหม”พระรูปนั้นก็ตะลีตะลานลุกขึ้นทันที รีบไปสรงน้ำเตรียมตัว เรียกว่าพอได้ยินชื่อสิริมาแล้วก็หายไข้ ออกเดินตามหลังพระพุทธองค์ไป
เมื่อไปถึงสุสาน พระรูปนั้นก็เห็นซากศพนอนอยู่บนเชิงตะกอน ท่านนั่งดูอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ (เบื้องหลัง) ของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่า “เอาล่ะ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว เริ่มเปิดประมูลได้ นางสิริมานั้นมีอาชีพเป็นหญิงโสเภณี ชื่อเต็มคือนครโสเภณี นครโสเภณีนั้นนับว่ามีศักดิ์มีศรี ในสมัยนั้นเมืองใหญ่ทุกเมืองต้องมีนครโสเภณีไว้เป็นหน้าตาของบ้านเมือง ใครได้ร่วมอภิรมย์กับนางสิริมาหนึ่งคืนจะต้องจ่ายเงินหนึ่งแสนกหาปณะ (เทียบเท่าหนึ่งแสนบาทในปัจจุบัน)
และเมื่อทุกคนพร้อมหมด พระสงฆ์พร้อม คฤหัสถ์พร้อม พระราชามหากษัตริย์พร้อม เจ้าหน้าที่ก็ออกไปยืนกลางแจ้ง ประกาศขึ้นมาว่า
“นางสิริมาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นับเป็นผู้หญิงที่สวย
ที่สุดในนคร มีแต่ชนชั้นนำและชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์ร่วมอภิรมย์กับนาง บัดนี้นางสิ้นชีวิตแล้วทางราชการเห็นว่าทุกคนควรจะได้ประโยชน์ร่วมกันจากความสวยของนางสิริมา เอาล่ะ หากใครอยากร่วมอภิรมย์กับนางสิริมาเชิญวางเงินลงหนึ่งแสน ไม่ใช่แค่เพื่อร่วมอภิรมย์หนึ่งคืน แต่ทางราชการจะยกให้เลย”
พระพุทธองค์ทรงหันไปดูพระภิกษุรูปนั้นที่จับตาจ้องอยู่ว่าใช่นางสิริมาแน่หรือ หนึ่งแสนไม่มีใครประมูล ลดลงมาเรื่อยๆ ห้าหมื่น หนึ่งหมื่น เก้าพัน แปดพัน เจ็ดพัน ห้าพัน สองพัน ห้าร้อย หนึ่งร้อย จนกระทั่งเหลือเพียงหนึ่งกหาปณะ(หนึ่งบาท) ก็ไม่มีใครแสดงตัวประมูลแม้แต่คนเดียว
ตลอดเวลานั้นพระพุทธองค์ทรงประทับนิ่ง พระภิกษุรูปนั้นทอดตามองอยู่ แล้วจิตของพระรูปนั้นก็สอนจิตของตัวท่านเองว่า
“นี่หรือคือรูปร่างสังขารที่ทำให้คนกระสันกันทั้งเมือง แต่บัดนี้ แม้แต่จะยกให้เปล่ายังไม่มีใครปรารถนา สังขารช่างเป็นอนิจจัง"พอเปล่งอุทานเสร็จ ท่านก็บรรลุธรรม ณ ที่นั่งแห่งนั้น ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงเป็นนักบริหารจัดการความหลง จิตปฏิพัทธ์ของพระภิกษุรูปนี้อาจตามนางสิริมาข้ามภพข้ามชาติไปก็ได้
นี่คือตัวอย่างอานุภาพของความหลง ถ้าได้หลงแล้ว มันไม่เลือกหรอกว่า เป็นพระหรือเป็นโยม เพราะใจของมนุษย์เราไม่ได้มีไฟแดงติดห้ามไว้เหมือนไฟจราจร
กิเลสมันทำงานตลอดเวลา กิเลสมาทิ่มเข้าไปที่ใจปั๊บ ทะลุทันที หรือเวลาที่เราไปติดเนื้อต้องใจใครหรืออะไรก็ตาม ใจมันก็จะทะลุไปเลย ไม่ติดไฟแดง ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำงานตลอดเวลา จะสั่งห้ามหรือสั่งให้หยุดไม่ใช่จะทำได้ง่าย ความหลงเกิดที่ใจ แต่จะให้หยุดใจตัวเองนั้น ยากอย่างยิ่ง
อ้างอิง : ก้าวไปให้ถึงรักแท้ (LOVE) โดย ว.วชิรเมธี
















