พิษรักแรงทุกข์
อกหักครั้งแรกอย่าด่วนสรุปว่า ชีวิตจะไปต่อไม่ได้
รักใคร่ปรารถนา สนตะพายให้เราบ้าทำอะไรเยอะแยะมากมาย บางทีทิ้งพ่อทิ้งแม่ ทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งงาน ทิ้งทรัพย์สมบัติ ทิ้งเรือนชานบ้านช่อง
เคยมีข่าวกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงสละบัลลังก์เพื่อ
ไปอยู่กับคนที่พระองค์รัก เนื่องจากรักใคร่ปรารถนานั้นมาพร้อมกับความเห็นแก่ตัว ถ้ารักกันอยู่ดี ๆ แล้วคุยกันรู้เรื่อง ทุกอย่างก็ดีหมดโดยเฉพาะช่วงโปรโมชั่น แต่พอหลังหมดโปรโมชั่นแล้วชักมีปัญหา
ผู้เขียนเคยอ่านข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งเลิกกับภรรยาเรียบร้อยแล้ว แต่เพื่อนบ้านไปจีบอดีตภรรยาของเขาที่เลิกกันแล้ว เขากลับหวง วันหนึ่ง เห็นเพื่อนบ้านกำลังคุยกับภรรยาเก่าของตน เขาเอาปืนส่องข้ามรั้วยิงเพื่อนบ้านดับอนาถ แสดงว่าที่เลิกกัน เลือกเฉพาะการอยู่ด้วยกัน แต่ในใจของผู้ชายคนนี้ยังไม่เลิก เห็นไหมว่าการยังมีอยู่ของความรักนั้นยิ่งกว่ายางมะตอย
เคยมีคุณโยมผู้หญิงคนหนึ่งอกหักรักคุดมาปรึกษา
ผู้เขียน บอกว่าเพิ่งเคยมีรักครั้งแรก รักสุดจิตสุดใจ มองโลกเป็นสีชมพู คนเตือนแล้วก็ไม่ฟัง เพราะยังเชื่อมั่นว่ารักนั้นนำแต่สิ่งดีๆ มาให้ แล้ววันหนึ่งผู้ชายก็ไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะไปเรียนต่อเมืองนอกก็เข้าทางเลย คือรักแท้แพ้ใกล้ชิด เขาไปจีบผู้หญิงคนใหม่อยู่ที่นั่น เรียนหนังสือไป ติววิชากันไป
ผู้หญิงคนนี้ก็ซื่อสัตย์และภักดีอยู่ทางนี้ มารู้อีกที เขาทั้งคู่ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันในหอพักเรียบร้อยแล้ว
เธอทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตาย
รักแรกก็นำเอาทุกข์แรกซึ่งเป็นความทุกข์ที่บริสุทธิ์ คือไม่มีความสุขเจือปนเลยตามมาด้วย พอบอกเลิกกันเรียบร้อยแล้ว เธอประกาศทิ้งทุกอย่างของแฟนหมด เสื้อผ้าอาภรณ์ ไดอารี่ กล่องช็อกโกแลต
ของขวัญทั้งหมด ที่สะสมมาทั้งหมด มาถวายสังฆทานกับผู้เขียน
ผู้เขียนถามว่า “ของเหล่านี้โยมจะทิ้งจริงใช่ไหม”
เธอตอบ “จริงค่ะ หนูจะหันมาทางธรรม”
ผู้เขียนก็บอกว่า “ขอโทษนะอย่าหาว่าอาตมาละลาบละล้วง กระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่นั่น ลองเปิดดูสิ”เธอเปิดกระเป๋าให้ดู ก็เห็นมีรูปที่ถ่ายคู่กันกับแฟนเก็บไว้อยู่ ผู้เขียนเลยบอกว่า “จริงไม่จริง ถ้าทิ้งจริงนะ ดึงออกมา ทำได้ไหม”
“ต้องทิ้งนี่ด้วยหรือคะพระอาจารย์”
ผู้เขียนเลยบอกว่า “รูปในกระเป๋าน่ะโยมจะทิ้งหรือ
ไม่ทิ้งก็ได้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รูปหรือข้าวของที่คุณโยมทิ้งหรอกนะ อยู่ที่ว่าโยมจะปล่อยไหม โยมจะทิ้งของทุกอย่าง แต่ถ้าในใจไม่ทิ้งก็สูญเปล่า”
พอพูดอย่างนี้ปั๊บ ดึงรูปออกมาวางเลย ผู้เขียนจึง
บอก “เก็บไว้เถอะ เพราะอาตมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาไว้ทำอะไรเหมือนกัน”แล้วเธอก็ถามผู้เขียนว่า “พระอาจารย์คะ เป็นไปได้ไหมคะ ที่คนดีที่สุดจะผ่านเข้ามาในชีวิตเราสองครั้ง
ผู้เขียนเลยบอกว่า “โยมอย่าบอกว่าสองครั้งเลย
บางทีแต่งงานแล้วเลิกตั้ง 6 ครั้ง มันมาครั้งที่ 7 เพราะฉะนั้นอย่าไปสรุปเลย อกหักครั้งแรกนี่อย่าไปสรุปว่าชีวิตจะไปต่อไม่ได้ แล้วอย่าทำร้ายตัวเองเด็ดขาด ยิ่งฆ่าตัวตายไม่ต้องคิด
เพราะว่าคนเราตายทุกคนอยู่แล้ว ความตายเป็นเรื่องที่ธรรมชาติแถมให้ฟรี อย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปทำอะไรเลย 1 ปีข้างหน้าโยมมาหาอาตมาใหม่ปีนี้โยมอยากฟูมฟาย โยมทำเลย ปีหน้ามาหาอาตมา ดูซิว่ามุมมองความรักเปลี่ยนไหม”
ผู้หญิงคนนี้หลังจากที่อกหักแล้ว ไปทำงานกับกลุ่มเอ็นจีโอ อุทิศตัวเพื่อสังคม ทำงานหนักมากเพื่อจะได้ไม่มีช่องว่างในการคิดถึงคนที่รัก ที่จริงไม่ต้องทำงานหนักมากขนาดนั้นก็ได้ แค่เจริญสติอยู่กับปัจจุบัน คนรักก็ปลิวแล้ว แต่เธอไม่รู้ เธอก็ทำงานหนักแทบล้มประดาตาย เพื่อให้เพลียแล้วจะได้หลับลงในแต่ละวันจนหนึ่งปีต่อมา เธอมาหาผู้เขียน มาบอกผู้เขียนว่า“ของดีมาทีหลัง หนูทำงานชนบทก็ไปเจอนายแพทย์คนหนึ่งซึ่งอุทิศตัวไปอยู่ในชนบท คนนี้ดีกว่าคนนั้น ไม่มีทางเทียบกันได้ ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานหน้าตา บุคลิกภาพ ความรับผิดชอบ ความเสมอต้นเสมอปลาย เขาสอบผ่านทุกอย่างเลยค่ะพระอาจารย์
ผู้เขียนบอกว่า “โยม อย่าเพิ่งสรุป ตราบใดยังไม่ได้แต่งงานกัน และตราบใดที่เขายังไม่ลงไปนอนอยู่ในหลุมอย่าเชื่อว่าเขาดี 100 เปอร์เซ็นต์ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดูเขาไป มีรักที่ไหนจะมีทุกข์ที่นั่น”
เธอเถียงผู้เขียน “หนูก็ไม่เห็นทุกข์นี่คะ”
ผู้เขียนบอกว่า “โยม ที่เห็นว่ามันเป็นความสุขนั่นแหละ แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่รอเวลาอยู่ เหมือนมะม่วงสุกที่รอเวลาหล่นจากต้น เขารอเวลาอยู่ ความสุขที่โยมได้รับมันคือความทุกข์ที่รอเวลาแสดงตัวอยู่เฉยๆ”ต่อมาผู้หญิงคนนี้ก็ย้ายไปทำงานเอกชน ทำงานไม่ถึงปีก็กลับมาหาผู้เขียนอีก มาให้สอบอารมณ์อยู่เรื่อย ผู้เขียนถามว่า “เป็นไงบ้าง”
เธอตอบ “เหมือนที่พระอาจารย์บอกเลยค่ะ ทำไมหนูถึงเลือกเขาก็ไม่รู้ ครั้งที่แล้วหนูบอกพระอาจารย์ว่า ไม่ว่าจะใช้อะไรวัด มาตรฐานไหนเขาก็ดีไปหมด แต่ตอนนี้หนูอยากจะพูดว่าไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานไหน เขาก็เลวไปหมด”
ผู้เขียนจึงบอกว่า “โยม ความรักเหมือนดอกกุหลาบ
ถ้าโยมชอบดอกกุหลาบ ก็อย่าไปรังเกียจหนามของเขานะมันมาด้วยกัน"
ฉะนั้น ความรักกับความทุกข์ เขามาด้วยกัน สุขๆ
ทุกข์ ๆ ตราบใดที่ยังมีรัก นั่นเป็นสัญญาณว่า ทุกข์ยังคงมีอยู่ตราบใดที่ยังมีสุขแบบโลกียสุข นั่นแสดงว่าทุกข์ยังคงมีอยู่ ตราบใดที่เราก้าวไม่พ้นเรื่องของคู่ คือสิ่งที่เป็นทวิลักษณ์ไม่มีทางที่เราจะพบกับความจริงของชีวิตได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของเรื่องความรัก
แต่ถึงอย่างนั้น รักใคร่ปรารถนา ก็มีทั้งข้อดีและข้อ
เสีย ข้อดีคือทำให้เราได้มาอยู่ในโลกนี้ ได้บำเพ็ญบารมีไปถึงโพธิปัญญา ข้อเสียคือ ถ้าเรามีความรักโดยขาดสติ
"ความรักจะนำมาซึ่งความทุกข์ โดยที่ไม่สามารถเดาล่วงหน้าได้ ทุกข์นั้นจะสาหัสขนาดไหน
ดังนั้น รักใคร่ปรารถนา จึงเป็นความรักที่มีผลข้างเคียงที่สูงยิ่ง ถ้าเป็นรักตัวกลัวตาย ผลข้างเคียงของมันคือ พร้อมที่จะทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ตนเองรอด
ส่วนรักใคร่ปรารถนา คือสุ่มเสี่ยงที่จะเดินเข้าสู่กับดักของความทุกข์ จนกระทั่งยอมปลิดชีวิตของเราเพื่อบูชาความรักได้
หนักหนาสาหัสที่สุดของความรัก ก็คือ ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ไม่จบไม่สิ้น พระพุทธองค์ทรงมาเคาะประตูอยู่เบื้องหน้า ยังหนักหลังหนีก็มี"
อ้างอิง : ก้าวไปให้ถึงรักแท้ (LOVE) ว.วชิรเมธี






















