ศีล ละ ธรรม (เรื่องสั้นแต่ง)
ศีล ละ ธรรม (ความจริงจากความตาย)
โดย นักบิณ
อาภรณ์ที่สวมใส่ไม่อาจกลบความเน่าเหม็นของกิเลส
ความจริงก็เหมือนซากศพที่ถูกฝังไว้ แม้ถูกปกปิด แต่กลิ่นของมัน...ไม่มีวันจางหาย
มีดวาววับในมือ...ถูกกำไว้แน่นจนเหงื่อซึมจากความสับสนในใจ คมวาวสะท้อนมองเห็นแม้ในที่ไร้แสง กลิ่นอายของดินชื้นลอยคลุ้งมากับสายลมยามค่ำคืน อากาศเย็นยะเยือกขณะลมพัดมาต้องผิวกายทำเอาสั่นสะท้าน เสียงใบไม้ไหวกรอบแกรบดังแผ่วเบาราวกับกระซิบความลับยามราตรี ความคิดดีชั่วตีกันยุ่งยิ่งกว่าปมของด้ายม้วนไหน
แหงนหน้ามองขึ้นฟ้าเหมือนต้องการถาม เมฆครึ้มปกคลุมดวงจันทร์เป็นครั้งคราว ทำให้แสงสลัวริบหรี่ส่องลงมากระทบพื้น เกิดเงาทอดยาวเต้นระริกไปตามจังหวะลม
'นี่คือบัญชาที่ข้าต้องทำใช่ไหม?'
คำถามผุดพรายขึ้นมาในใจทำเอาถอนหายใจยาว พรั่งพรูลมออกจากปาก ไอหมอกจาง ๆ ลอยออกมาในอากาศเย็น สีหน้ายับย่น เหลือบสายตามองคนตรงหน้า ในอาภรณ์สีแก่นขนุนเข้มห่มพาดคลุมไหล่เฉียงด้านเดียว ชายผ้าสะบัดพลิ้วตามแรงลม กลิ่นธูปจาง ๆ ที่ติดมากับอาภรณ์ลอยมาตามสายลม มองดูน่านับถือและศรัทธา
แม้รู้ดีถึงจุดจบหากทำเรื่องนี้เสร็จสิ้น แต่เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นใด ถ้าเขาไม่ใช่ผู้เสียสละ เรื่องนี้คงไม่มีวันสิ้นสุด ความทุกข์ทรมานคงเกิดขึ้นกับคนอีกหลายคน เสียงนกกาเหว่าดังแว่วมาแต่ไกล ราวกับเป็นลางบอกเหตุ
เงาบางจากคมมีดสะท้อนเสี้ยวหน้าชายผมขาวสีหน้าอมทุกข์ หยดน้ำค้างเกาะพราวบนเส้นผมสีขาว ริ้วรอยย่นที่เห็นเป็นรอยลึกบนหน้าผาก บ่งบอกโมงยามของกาลเวลาที่ผ่านการใช้ชีวิตมา
.............................
-1-
เช้ามืดวันนั้นคงเป็นวันที่ชาวหมู่บ้านสะเรียงจะมีเรื่องให้จดจำไปยันลูกหลาน สะเรียงเป็นสถานที่ลับไม่ค่อยมีคนรู้จัก ซุกซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาทางภาคเหนือ มีเพียงป่าทึบและลำห้วยใสเย็นโอบล้อม หากไม่ใช่คนในพื้นที่จริง ๆ ที่นี่แทบจะเหมือนแดนสนธยา ไม่ค่อยมีเรื่องราวใด ๆ ทุกคนใช้ชีวิตเรียบง่าย ส่วนใหญ่ทำไร่ทำสวน เลี้ยงวัวควาย หาของป่า หรือจับปลาในลำห้วย จากจำนวนประชากรไม่ถึงห้าสิบหลังคาเรือน ทำให้ทุกบ้านนับเป็นญาติกันหมด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เหตุร้ายแรกเหตุเดียวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำเอาทุกคนอกสั่นขวัญแขวนตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัวระคนแปลกใจ
เช้าวันนั้นสายหมอกอ้อยอิ่ง แสงของแดดไม่ยอมโผล่ออกมาทักทาย อากาศในฤดูหนาวยังคงเย็นยะเยือก เหมาะยิ่งกับการนอนหลับพักผ่อน ตาสายผู้มีอาชีพหาของป่าและล่าสัตว์ เดินผิวปากกลับมาจากไปนั่งห้างดักยิงเสือยังราวป่าท้ายหมู่บ้าน เสียงสวบสาบเบื้องหน้าทำให้ขาสองข้างหยุดชะงัก เพ่งมองไปยังฝูงหมาไนเบื้องหน้าที่กำลังกลุ้มรุมกัดแทะบางอย่าง หางของพวกมันกระดิกกระเด้งอย่างคึกคะนอง เสียงขู่คำรามแผ่วเบาดังลอดออกมาจากลำคอเป็นพัก ๆ ขนสีน้ำตาลเข้มตั้งชันขณะพวกมันแย่งชิงเหยื่อด้วยความหิวโหย เขามองหาก้อนหินขนาดพอเหมาะเขวี้ยงไปกลางวงด้วยเจตนาไล่ ทันทีที่มันวิ่งหนีไปพร้อมเสียงหอนแหลมยาว ภาพอันชวนสยดสยองก็ปรากฏขึ้นในสายตา
"นะ...นั่นมัน..." อุทานได้เพียงแค่นั้น เขาก็รีบห้อตะบึงไปยังบ้านของผู้ใหญ่เพื่อส่งข่าว
"ผู้ใหญ่ เร็วเข้าเถอะ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว"
เขาละล่ำละลักพูดรัวเร็วจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์แถมยังหอบจากการวิ่ง ทำเอาคนฟังต้องตั้งสติ
"มีอะไร ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดเถอะตาสาย" ผู้ใหญ่ท้วง
"ศะ ศะ ศพ หลวงพ่อครับ ทะ ทะ ที่ท้ายหมู่บ้าน ตอนแรกนึกว่าซากอะไร หมาไนมันพากันรุมแทะจนมองแทบไม่เห็น ผมเอาก้อนหินเขวี้ยงเข้าไป เลย..." ท้ายเสียงเล่าแผ่วเบา ขาดห้วงด้วยความรู้สึกตระหนกที่ยังชัดในความรู้สึก
"หา?" ผู้ใหญ่อุทานเสียงสูง ก่อนรีบลุกไปหยิบปืนยาวที่ขัดไว้กับข้างฝาบ้าน มาประคองไว้ในมือ
"ไป พาข้าไปเร็ว" พลางกล่าวเร่งให้คนบอกข่าวพาไปยังจุดพบศพ
ระหว่างเดินไปท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นผู้ใหญ่ถือปืนเดินเร่งรุด ต่างพากันสอบถาม ขบวนชาวบ้านที่เดินตามไปดูจึงขยายใหญ่ขึ้น เสียงซุบซิบดังแว่วไปทั่ว
"เกิดอะไรขึ้น?"
"ได้ยินว่าเจอศพ"
"ตายจริงหรือ ใครตายล่ะ?"
บ้างกระซิบกระซาบถามกันเองด้วยสีหน้าวิตก บ้างยกมือขึ้นพนมไหว้ด้วยความหวาดหวั่น ผู้ใหญ่เดินนำหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม ริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มลึกขึ้นด้วยความกังวล มือที่กำด้ามปืนแน่นสั่นเล็กน้อย แต่ก้าวเดินยังมั่นคง ตอนนี้กลายเป็นคนทั้งหมู่บ้านกำลังเดินไปยังจุดเกิดเหตุ
.
-2-
หลายปีก่อนหน้านั้น สะเรียงมีโอกาสต้อนรับคนนอก เขาเป็นชายผิวคล้ำหน้าตาดี จมูกโด่งคม รูปหน้าชัด เดินโซซัดโซเซมาแบบคนเมา อายุเพียงสามสิบกว่า ๆ เท่านั้น ตอนเผอิญพลัดเข้ามายังหมู่บ้าน บนแขนซ้ายมีรอยสักรูปมังกรพันดาบเลือนราง คงเป็นร่องรอยของอดีตที่พยายามจะลบเลือน ตอนนั้นตาอินดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน
"พ่อหนุ่มเป็นคนมาจากไหนกัน" เขาเอ่ยถามหนุ่มตรงหน้า กลิ่นเหล้ายังคงโชยออกมาคละคลุ้ง เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกถลกแขนพันไว้ลวก ๆ บริเวณข้อศอก สภาพคนตรงหน้ายับเยินอย่างที่สุด ดวงตาคู่นั้นมีแววทุกข์ราวหมดอาลัยในชีวิต นั่นทำให้เขานึกเห็นใจ พลางนึกไปถึงลูกชายที่ถูกเมียเก่าพาหนีจากไป คงมีอายุอ่อนกว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่มาก นั่นทำให้เขานึกเอ็นดู
"ผมชื่อชาติ นั่งรถทัวร์มาจนสุดสาย ลงรถแล้วก็นั่งรถสองแถวต่อ จนคนขับบอกว่าสุดทางแล้ว ผมก็เดินกินเหล้ามาเรื่อย เหล้าหมดไปเมื่อวาน ผมไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน เดินไปเดินมาเห็นควันไฟเลยเดินตามมาครับ" เขาตอบอย่างสุภาพ น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง
"การพลัดหลงเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย คงเป็นโชคชะตาของเรา หรือไม่ก็คงมีวาสนาต่อกัน มา... ตามข้ามาเถอะ ไปพักผ่อนที่บ้านให้สบายก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง"
เขาเมตตารับชายหนุ่มคนนี้ไว้ และเป็นธุระจัดการให้ เมื่อรู้ความตั้งใจอยากบวชเป็นพระ แม้จะต้องพาไปบวชถึงในอำเภอที่อยู่ห่างไปถึงสามสิบกว่ากิโล
นับแต่นั้นมาหมู่บ้านสะเรียงก็มีพระสงฆ์ไว้เป็นที่พึ่งในการจัดกิจกรรมทางศาสนา ไม่ต้องลำบากไปนิมนต์มาจากที่อื่นเหมือนสมัยก่อน วัดเป็นเพียงกุฏิไม้หลังเล็ก ๆ มุงด้วยหลังคาสังกะสีเก่าคราบสนิมจับเป็นดวง ศาลาทำบุญก็เป็นเพียงเพิงพื้นซีเมนต์ขัดมันเรียบง่าย มีเสาไม้เนื้อแข็งรองรับหลังคา ส่วนโบสถ์นั้นยังคงใช้ศาลาหลังเดิมที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างจากไม้ในป่า แม้จะเรียบง่ายแต่ก็สะอาดตา เพราะชาวบ้านผลัดเวียนกันมาทำความสะอาด จัดแจกันดอกไม้ป่าวางบูชาพระ กลิ่นธูปและควันเทียนลอยอ้อยอิ่งในอากาศยามเย็น ผสานกับเสียงกังวานของระฆังเล็ก ๆ ที่แขวนอยู่ใต้ชายคา
พระชาติวางตัวดี ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎก เพื่อให้รู้ถึงความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมที่พระสงฆ์พึงปฏิบัติ วาจาสุภาพ ท่วงทีเรียบร้อย ทำให้พระองค์นี้เป็นที่เคารพรัก และได้รับความศรัทธาจากชาวบ้านทั่วทั้งหมู่บ้านอย่างไม่มีข้อกังขา ทุกวันพระชาวบ้านจะพากันมาทำบุญที่วัด นำข้าวและอาหารมาถวาย เด็ก ๆ มาเรียนหนังสือที่วัดในวันหยุด ผู้เฒ่าผู้แก่มักนั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่อใต้ต้นสาละหน้าวัด บางครั้งก็มีชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงเดินข้ามเขามาทำบุญ ขอพรและคำแนะนำ นับว่าศรัทธาที่ชาวบ้านมอบให้นั้นเปี่ยมล้น กับคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าให้เสาะหา
.
-3-
"พ่ออิน..." เสียงเรียกดังขึ้นในเช้าตรู่ ผิดวิสัยที่ใครจะมาหา เขาชะโงกหน้าออกไปมอง เป็นหญิงคราวลูก มีศักดิ์เป็นหลานสาวที่แม่มันฝากฝังให้เขาคอยดูแล
"มะลิซ้อน... มีอะไรเข้ามาก่อนลูก" เขาเดินออกไปเพื่อดึงบันไดลงให้หญิงสาว
"หนู... หนูท้อง" หญิงตรงหน้าก้มหน้านิ่ง พูดแผ่วเบา จนเขาต้องถามซ้ำ ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ
"อะไรนะ?"
"หนูท้องจ้ะพ่ออิน" มะลิซ้อน หญิงสาวบริสุทธิ์แรกแย้ม เขาไม่เคยเห็นเธอพูดคุยชายตากับหนุ่มคนไหน รู้สึกเหมือนเธอเพิ่งผ่านพ้นวันวัยวิ่งเล่นเมื่อไม่นานมานี้เอง
"กับใคร?" ไม่มีอารมณ์โกรธเคืองใด ๆ ในน้ำเสียง แค่เพียงอยากรู้เพื่อจัดการอะไร ๆ ให้เรียบร้อยมากกว่า
เงียบ! ไม่มีเสียงตอบใดออกมาจากร่างเล็ก ๆ นั้น มีเพียงกายสะท้านสั่นไหวเบา ๆ พร้อมน้ำตาที่พร่างพรู ดวงตาฉายแววกังวล เขามองเธออย่างเห็นใจ ไม่อยากคาดคั้นอะไร เพราะการท้องของมะลิซ้อนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรของชาวหมู่บ้านสะเรียง ที่นี่ทุกคนคือครอบครัว ทุกคนคือญาติ การมีเด็กเพิ่มคือเรื่องน่ายินดีเสมอมา
หลังคลอดมะลิซ้อนก็เดินตามรอยแม่ของเธอ ทิ้ง "มะลิ" ลูกสาวไว้ให้เขาดูแล เขารับหน้าที่นี้อย่างยินดี มะลิเป็นเด็กเลี้ยงง่าย น่ารักสดใส นั่นทำให้เขาสดชื่นเมื่อมีมะลิ เด็กทำให้คนแก่อย่างเขาร่าเริงขึ้น
แล้ววันหนึ่ง เขาก็ได้รู้ความจริงของมะลิซ้อน
ถึง พ่ออินที่เคารพ
ฉันอยากเล่าความจริง อย่างน้อยพ่อก็ควรได้รู้เรื่องนี้ พ่อของมะลิคือ...หลวงพ่อ อย่าถามว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะมันไม่สำคัญอีกแล้ว เอาเป็นว่า ฉันไม่รู้ว่ามีแค่ฉันหรือเปล่าที่มีความสัมพันธ์กับหลวงพ่อ เพราะฉันเห็นผู้หญิงหลายคนในหมู่บ้านไปหาหลวงพ่อที่กุฏิตอนค่ำหลายคน
ตอนที่รู้ตัวว่าท้อง และบอกเรื่องนี้ เขาบอกให้ฉันเงียบอย่าบอกใครว่าท้องกับเขา ชาวบ้านจะเกลียดที่ฉันเป็นมารศาสนา ฉันจะต้องตกนรกหมกไหม้ที่มีความสัมพันธ์กับพระ เป็นคนทำให้หลวงพ่อแปดเปื้อน ตอนนั้นฉันกลัวมาก จึงไม่กล้าบอกใครนอกจากขอความช่วยเหลือจากพ่ออิน
พ่อว่านรกมีจริงไหม ฉันว่ามันมีจริง มันอยู่ในอกของฉันนี่แหละ ทุกครั้งที่ฉันนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันกลุ้มรุมทุรนทุรายจนอกแทบมอดไหม้ จนฉันไม่อาจฝืนทนอยู่ที่นั่น ไม่อาจทนมองลูก และหลวงพ่อได้ มันเหมือนฉันเป็นโคลนตมสกปรกทำให้หลวงพ่อคนดีต้องผิดบาป ฉันจึงตัดสินใจจากมา
ฉันขอฝากมะลิลูกสาวของฉันด้วยนะ ฉันรู้ว่าพ่อจะรักมะลิเหมือนที่เคยรักและเอ็นดูฉัน สักวันหนึ่งฉันหวังว่าฉันจะกล้ากลับไปที่นั่นได้
รักพ่ออินเสมอ
มะลิซ้อน
ตาอินนั่งอ่านจดหมายใต้แสงตะเกียงสลัว เสียงจิ้งหรีดร้องระงมดังแว่วมาจากนอกชาน ลมหนาวพัดเอื่อยทำให้เปลวไฟในตะเกียงไหวเต้น สาดเงาริ้วยาวบนกระดาษในมือที่สั่นเทา สายตาเลือนรางด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ อ่านแล้วอ่านอีกราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น ความคิดสับสนวุ่นวายในหัว ภาพของชายหนุ่มที่เคยเดินโซเซมาที่หมู่บ้าน กับภาพของหลวงพ่อที่สง่างามในผ้าเหลืองวูบไหวสลับไปมา ลมหายใจติดขัดแน่นหน้าอก มือที่กำจดหมายบีบแน่นจนกระดาษยับย่น ก่อนจะรีบคลี่ออกด้วยความรู้สึกผิด
เขาพับกระดาษสอดลงไปในซองด้วยมือสั่นเทา เชื่อทุกคำพูดของมะลิซ้อน เป็นเขาเองที่นำชายคนนี้มาในหมู่บ้าน หากเรื่องที่มะลิซ้อนว่ายังมีหญิงอื่นอีกที่ไปยามค่ำคืน หลวงพ่อก็เป็นมารศาสนา ไม่ควรอาศัยชายผ้าเหลืองห่มคลุมร่างอีกต่อไป แต่เขาจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้ หลวงพ่อเป็นที่เคารพรัก และศรัทธาอย่างสูงจากทุกคนในหมู่บ้าน เขามีเพียงจดหมายบอกเล่าจากหญิงท้องโตไร้สามีที่หนีไปจากหมู่บ้าน ใครกันจะเชื่อ
หลายปีที่เขาเฝ้ามองทุกการกระทำของหลวงพ่อ แต่ก็ไม่มีอะไร ท่านยังคงน่าเคารพศรัทธา เวลาว่างก็หมั่นท่องบาลี ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ก็เดินจงกรม บางครั้งก็หายไปปักกลดนานเป็นเดือนจึงกลับมา ดวงตาของท่านฉายแววประหลาด เหมือนคนที่แบกความลับบางอย่างไว้ มีเพียงหญิงสาวหลายคนที่ออกไปจากหมู่บ้าน แต่นั่นไม่ใช่ข้อพิสูจน์ เพราะพวกเธออาจออกไปหางานทำ หาความเจริญที่สะเรียงไม่มีให้
ไม่มีใครรู้ว่าเวลาที่หลวงพ่อหายเข้าป่าไปหลายวัน ว่าไปปฏิบัติธรรม แท้จริงแล้วท่านทำอะไร เพราะเมื่อกลับมา นอกจากแววตาประหลาดแล้ว ยังมักมีข่าวการหายตัวไปของหญิงสาวตามมาเสมอ จนกระทั่ง...
.
-4-
ตาอินมองท้องที่นูนขึ้นของมะลิ เด็กหญิงที่เลี้ยงมากับมือจนเริ่มโต รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นอีกแล้วกับหญิงสาวไร้เดียงสา เธอเดินซ้ำรอยแม่ ตั้งแต่วัยเยาว์ยังไม่พราก
"ตา... หนูกลัว" มะลิกระซิบบอกในคืนหนึ่ง น้ำตาไหลอาบแก้ม
ความโกรธแค้นที่สะสมมานานระเบิดออก นึกถึงใบหน้าของมะลิซ้อน นึกถึงหญิงสาวทุกคนที่หายไป นึกถึงศรัทธาที่ถูกทำลาย และตอนนี้... ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยกับมะลิ ลูกสาวของคนที่เขารักเหมือนลูก มะลิจะเป็นหญิงท้องไร้พ่อคนสุดท้ายของหมู่บ้านสะเรียง เขามั่นใจเช่นนั้น
คืนนั้นท่ามกลางความมืด เมฆครึ้มปกคลุมดวงจันทร์เป็นระยะ ราวกับธรรมชาติกำลังซ่อนเร้น ลมหนาวพัดกระโชกเป็นห้วง ๆ พาเอากลิ่นดินชื้นและใบไม้เน่าลอยคลุ้ง ตาอินเดินไปที่กุฏิพร้อมมีดในมือ เหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมตามแผ่นหลัง จิ้งจกร้องแทรกเสียงจักจั่นและเรไรดังก้องในความเงียบ เสียงใบไม้แห้งแตกกรอบใต้ฝ่าเท้าดังราวกับเสียงกระดูกหัก เขาค่อย ๆ เปิดประตูกุฏิที่ไม่เคยลงกลอน กลิ่นธูปและดอกไม้ลอยมาปะทะจมูก
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้เข้ามา เผยให้เห็นร่างในผ้าเหลืองนั่งสมาธิอยู่กลางห้อง แขนเสื้อจีวรพับขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยสักมังกรพันดาบที่เลือนราง ควันธูปลอยเป็นริ้วบางในอากาศ
"ทำไม?" เสียงของตาอินสั่นเครือ มือที่กำมีดแน่นสั่นระริก เหงื่อไหลซึมจนมีดแทบหลุดมือ "ทำไมถึงทำกับพวกเขาแบบนี้? ทำกับมะลิซ้อน... กับมะลิ... ลูกของตัวเอง"
หลวงพ่อลืมตาขึ้นช้า ๆ ใบหน้าสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด "อดีตมันผ่านไปแล้ว เราปล่อยวางมันเถอะ โยม" น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกำลังเทศน์สั่งสอน "ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม"
"ปล่อยวาง?" ตาอินหัวเราะเยาะ เสียงแหบแห้ง "แล้วลูกที่เกิดมาล่ะ? พวกเขาจะปล่อยวางได้ยังไง? เด็กพวกนั้นจะเติบโตมาเป็นยังไง เมื่อพ่อของพวกเขาเป็นถึงพระ... เป็นคนที่ชาวบ้านกราบไหว้!"
"ทุกชีวิตเกิดมาล้วนมีกรรมเป็นของตน" หลวงพ่อพูดเรียบ ๆ พลางลุกขึ้นยืน จีวรสีเหลืองเปล่งประกายวาววับในแสงจันทร์ "แม้แต่โยมเอง ก็มีกรรมที่ต้องแบกรับ" หลวงพ่อหยุดนิ่ง สายตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ไปยังต้นสาละที่ยืนตระหง่านอยู่ในความมืด
ตาอินขยับมีดในมือ “เราลงไปคุยกันที่ใต้ต้นสาละเถอะ”
หลวงพ่อขยับเดินตามด้วยอากัปกิริยาเรียบเฉย สีหน้านิ่งจนยากหยั่งความคิดภายใน
"วันนี้กรรมจะมาถึงที่สุด... เหมือนดั่งพระพุทธองค์ที่ทรงเสด็จดับขันธ์ใต้ต้นสาละคู่" น้ำเสียงของหลวงพ่อแผ่วเบาลง แฝงความอ่อนล้าและยอมรับ "พ่ออินไม่ต้องแปดเปื้อนหรอก ฉันจะจัดการทุกอย่างเอง"
มือที่กำมีดของตาอินสั่นระริก เหงื่อเย็นไหลซึมตามแผ่นหลัง หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบทะลุอก ขณะที่หลวงพ่อค่อย ๆ ถอดจีวรออก ความทรงจำมากมายแวบผ่านเข้ามา... ภาพวันแรกที่พบกัน ภาพการบวช ภาพรอยยิ้มของมะลิซ้อน แววตาหวาดกลัวของมะลิ... ทั้งหมดหมุนวนในหัวจนแทบบ้า หลวงพ่อพับจีวรวางอย่างเรียบร้อยบนกิ่งของต้นสาละ ใบสาละร่วงหล่นในความมืด เสียงกิ่งไม้ลั่นเบา ๆ ในสายลมราวเสียงถอนหายใจ
.
-5-
เมื่อทุกคนเดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน กลิ่นน่ารังเกียจจากซากที่เคยห่มคลุมด้วยจีวรสีแก่นขนุนเข้ม โชยคละคลุ้งจนบางคนสะอิดสะเอียน บางคนถึงขั้นอาเจียน เมื่อได้สัมผัสทั้งกลิ่นและเห็นภาพนั้นกับตา กองก้อนเนื้อกำลังส่งกลิ่นเน่า ปนกลิ่นคาวเลือดและน้ำหนองไหลนอง ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกคลุม ด้วยมันถูกถอด วางพับไว้อย่างเรียบร้อยบนกิ่งของต้นสาละใหญ่
ต้นสาละเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ทั้งการประสูติ ก่อนพระองค์ตรัสรู้ในตอนเย็น กลางวันนั้นพระองค์ทรงประทับใต้ต้นสาละ และทรงปรินิพพานดับขันธ์ใต้ต้นสาละคู่ นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่จีวรถูกพับวางพาดไว้แบบนั้น ชาวบ้านต่างซุบซิบกันเซ็งแซ่ถึงสาเหตุการตายของพระองค์เดียวของหมู่บ้าน ที่ไม่น่าเกิดขึ้น
หากมีใครสังเกต ชายสูงวัยผมขาวใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยที่ยืนนิ่งสงบอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่สื่ออาการใด ๆ เพื่อบอกถึงอารมณ์ภายในออกมาให้คนอื่นสัมผัสได้ เขาคือชายที่เคยอุ้มชูชายผู้นี้ตั้งแต่ย่างกรายเข้าหมู่บ้านมาจนกลายเป็นพระอย่างสมบูรณ์
ตาอิน ยืนมองก้อนเนื้อที่ถูกกัดแทะจากหมาไน จนมีสภาพรุ่งริ่งมองแทบไม่ออกว่าชิ้นส่วนไหนคืออวัยวะส่วนใดของร่างกายที่เคยเป็นคนอย่างสงบ มันสงบเสียจนผู้คนรอบข้างสงสัย
"ตาอิน แกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?" ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ เขาคือคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และเห็นความสงบแบบเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากอดีตผู้ใหญ่บ้าน
"แกจะให้ข้ารู้สึกยังไงล่ะ คนก็ตายไปแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันธรรมดา เป็นสัจธรรมของชีวิตอยู่แล้ว" ตาอินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ คนฟังถึงกับเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เขามองไปยังซากนั้นอย่างใช้ความคิด พลางนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในหลายคืนก่อน... แม้ไม่รู้เลยว่าร่างพระชาติกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง เพราะตอนเดินจากมา เมื่อโยนมีดปักดินไว้ต่อหน้าร่างนั้น เขาก็ไม่อยากรับรู้อะไรอีก...
........ จบ ........
ลงในนิตยสารออนไลน์ เฟซบุ๊คเพจ อ่านอิ่ม รายวัน ฉบับที่ 303 วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568
.
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ตรงนี้มีคำตอบคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ใช้ไม่หมดสามารถนำไปใช้เฟส 2 ได้หรือไม่
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ตำรวจเรียกสอบเพื่อนสนิทที่อยู่ในเหตุการณ์คืนที่ "นัทปง" เสียชีวิต
จัดอันดับแมลงมีพิษที่สุดในไทย
ตำรวจเรียกสอบเพื่อนสนิทที่อยู่ในเหตุการณ์คืนที่ "นัทปง" เสียชีวิต
สยอง! งูยักษ์ 5 เมตรหนัก 60 กิโลฯ พังเพดานห้องน้ำ จู่โจมบ้านชาวมาเลเซีย
หัวใจแตกสลายทั้งโซเชียล! "สาวญี่ปุ่น" สุดคิวท์ถูกแมวป่วนใต้กระโปรง แท้จริงคือคุณพ่อลูกสอง วัย 48
จัดอันดับแมลงมีพิษที่สุดในไทย
"บัวเพอร์เพิลจอย"ลูกผสมสีสันดอกสีม่วงนั้นโดดเด่นค่อยๆไล่สีจนไปถึงเกสรสีขาว
"ผักปวยเล้ง" ผักที่มีธาตุเหล็กสูงกว่าหมู+ต้านมะเร็ง แต่ถ้ากินมากไปก็มีผลเสีย
ชีวิตอยากสบายอยากทำอะไรแบบนี้ เสี่ยงชีวิตพัง
การเดินทางที่ไม่สามารถที่จะระบุเวลาที่จะถึงได้ "แล้วแต่สถานการณ์ระหว่างทาง"
ความรู้นั้นมีการรวบรวม ส่วนของวรรณกรรมและเรื่องราวความเป็นมา (ปราสาทหินพิมาย)
"อย่าเดินเหยียบธรณีประตู" สิ่งที่ติดหูเรานั้นมาตลอด คำบอกเล่าจากยาย