เปิดบันทึกสงครามฝิ่น การรุกรานและการสูญเสียอำนาจของจีน
สงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839-1842 และ 1856-1860) เป็นความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิจีนภายใต้ราชวงศ์ชิงกับจักรวรรดิอังกฤษ และต่อมามีฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีสาเหตุหลักมาจากการค้าฝิ่นของอังกฤษในจีน ซึ่งทางการจีนพยายามห้ามปรามเนื่องจากส่งผลเสียต่อสุขภาพและสังคม
สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้นเมื่อจีนยึดและทำลายฝิ่นของพ่อค้าชาวอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษจึงใช้กำลังทหารตอบโต้ ด้วยความได้เปรียบทางเทคโนโลยี กองทัพอังกฤษได้รับชัยชนะและบังคับให้จีนลงนามใน สนธิสัญญานานกิง (ค.ศ. 1842) ซึ่งจีนต้องชดใช้ค่าเสียหาย เปิดเมืองท่า 5 แห่งให้ทำการค้ากับอังกฤษ และยกเกาะฮ่องกงให้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ต่อมามีการลงนามใน สนธิสัญญาโบกู (ค.ศ. 1843) เพิ่มเติม ทำให้ชาวอังกฤษในจีนได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและอังกฤษได้รับสถานะชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง
สถานการณ์ยังคงตึงเครียด และเกิด สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1856-1860) จากเหตุการณ์เรือแอร์โรว์และการประหารชีวิตบาทหลวงชาวฝรั่งเศส อังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกันโจมตีจีน และต่อมามีรัสเซียและสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วย จีนพ่ายแพ้อีกครั้งและต้องลงนามใน สนธิสัญญาเทียนจิน (ค.ศ. 1858) ซึ่งกำหนดให้จีนเปิดเมืองท่ามากขึ้น ลดภาษี อนุญาตให้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ และชดใช้ค่าเสียหาย แต่จีนยังไม่ยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาอย่างเต็มที่
ในปี ค.ศ. 1860 กองกำลังผสมอังกฤษ-ฝรั่งเศสบุกเข้าปักกิ่งและเผาพระราชวังฤดูร้อน ทำให้จีนต้องยอมจำนนและลงนามใน อนุสัญญาปักกิ่ง (ค.ศ. 1860) ซึ่งยืนยันข้อตกลงในสนธิสัญญาเทียนจินและเพิ่มเติมเงื่อนไขให้จีนชดใช้ค่าเสียหายมากขึ้นและยกคาบสมุทรเกาลูนให้แก่อังกฤษ
สงครามฝิ่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของจีนต่อชาติตะวันตกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เป็นการเปิดศักราชแห่งการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ของชาติตะวันตกในจีน และส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของจีนอย่างลึกซึ้ง รวมถึงเป็นรากฐานของปัญหาความขัดแย้งในฮ่องกงในเวลาต่อมา

















