ซูสีไทเฮา สตรีผู้ทรงอิทธิพลเหนือแผ่นดินมังกร
ซูสีไทเฮา (ฉือสี่) เป็นสตรีผู้ทรงอำนาจอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์จีน แม้จะไม่เคยขึ้นเป็นจักรพรรดินี แต่พระนางกลับกุมอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินยาวนานถึง 47 ปี (ค.ศ. 1861-1908) ในฐานะพระพันปี (ไทเฮา) หรือพระมารดาของจักรพรรดิ
พระนางเริ่มต้นชีวิตในราชสำนักในฐานะสนมของจักรพรรดิเสียนเฟิง ด้วยความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการอ่านเขียน ทำให้พระนางเป็นที่โปรดปรานและมีบทบาทในการช่วยบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อจักรพรรดิเสียนเฟิงสวรรคต และพระโอรส (จักรพรรดิถงจื้อ) ขึ้นครองราชย์ ซูสีไทเฮาก็ร่วมมือกับซูอันไทเฮา (ฮองเฮาเดิม) ทำรัฐประหารซินโหย่ว ยึดอำนาจจากผู้สำเร็จราชการ และก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศ
แม้จะมีการคืนอำนาจให้จักรพรรดิถงจื้อในเวลาต่อมา แต่เมื่อพระองค์สวรรคตอย่างกะทันหันโดยไม่มีรัชทายาท ซูสีไทเฮาก็ทรงแต่งตั้งหลานชาย (จักรพรรดิกวังซวี่) ขึ้นครองราชย์ และกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการอีกครั้ง พระนางไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปร้อยวันของจักรพรรดิกวังซวี่ และทำการรัฐประหารอีกครั้ง กักขังจักรพรรดิ และกลับมาบริหารประเทศด้วยตนเองจนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1908 หนึ่งวันหลังจากการสวรรคตอย่างลึกลับของจักรพรรดิกวังซวี่
เรื่องราวของซูสีไทเฮาเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการตีความที่แตกต่างกัน สื่อส่วนใหญ่มักนำเสนอภาพของพระนางในฐานะทรราช ผู้ที่นำความล่มจมมาสู่ราชวงศ์ชิง อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันพยายามมองข้ามอคติทางเพศและชี้ให้เห็นถึงความพยายามของพระนางในการพัฒนาประเทศ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พระนางทรงสนับสนุนการปฏิรูปในหลายด้าน เช่น การยกเลิกการรัดเท้า และเคยมีแนวคิดที่จะนำระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญมาใช้
กระนั้นก็ตาม ด้านลบของซูสีไทเฮาก็เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุรุ่ยสุร่ายในการใช้จ่ายส่วนพระองค์และการนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังมีปัญหา เรื่องราวของพระนางจึงเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและน่าศึกษา เพื่อทำความเข้าใจถึงบริบททางสังคมและการเมืองในยุคนั้นอย่างรอบด้าน โดยปราศจากอคติ















