วรรณะและจัณฑาลในอินเดีย
ระบบวรรณะในอินเดียมีรากฐานจากการรุกรานของชาวอารยันเมื่อประมาณ 1,800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งแบ่งชนชั้นตามเผ่าพันธุ์และสีผิว โดยชาวอารยันผิวขาวกดขี่ชาวดราวิเดียนผิวดำ ต่อมาจึงพัฒนากลายเป็นการแบ่งเป็น 4 วรรณะหลัก ได้แก่ พราหมณ์ (นักบวช), กษัตริย์ (นักรบ/ปกครอง), แพศย์ (พ่อค้า/เกษตรกร), และศูทร (แรงงาน) โดยวรรณะศูทรส่วนใหญ่คือชาวดราวิเดียน
ความเชื่อทางศาสนาในยุคหลังได้เสริมความแข็งแกร่งให้ระบบวรรณะ โดยระบุว่าแต่ละวรรณะมีที่มาจากส่วนต่างๆ ของพระพรหม และมีการกำหนดหน้าที่และสถานะทางสังคมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน วรรณะพราหมณ์ได้รับการยกย่องสูงสุด
จัณฑาล ไม่ถือเป็นวรรณะ แต่เป็นกลุ่มคนที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะที่ฝ่าฝืนกฎอย่างร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะการแต่งงานระหว่างหญิงพราหมณ์กับชายศูทร คนเหล่านี้ถูกขับออกจากระบบวรรณะและถูกสังคมรังเกียจอย่างมาก คำว่า "จัณฑาล" หมายถึงผู้ที่ "แตะต้องไม่ได้" พวกเขาต้องอยู่นอกเมือง ประกอบอาชีพที่ถูกรังเกียจ เช่น เก็บขยะ หรือทำงานกับสิ่งสกปรก และได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย
การเกิดขึ้นของศาสนาพุทธได้ท้าทายระบบวรรณะ แต่ศาสนาพราหมณ์ก็กลับมามีอิทธิพลอีกครั้งและทำให้กฎเกณฑ์เข้มงวดขึ้น จนกระทั่งอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ระบบวรรณะจึงเริ่มคลายตัวลงบ้าง เนื่องจากการนำการศึกษาและกฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติเข้ามา
ในยุคต่อมา มีบุคคลสำคัญ เช่น มหาตมะ คานธี และ ดร. บีอาร์ อัมเบดการ์ ที่พยายามเรียกร้องความเท่าเทียม ดร. อัมเบดการ์ ซึ่งเกิดเป็นจัณฑาล ได้ผลักดันให้มีการบัญญัติรัฐธรรมนูญที่รับรองความเท่าเทียมและยกเลิกการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งวรรณะ รวมถึงการให้โควต้าทางการศึกษาและการทำงานแก่ผู้ด้อยโอกาส และเปลี่ยนชื่อเรียกจัณฑาลเป็น "ดาลิต"
แม้ว่ากฎหมายอินเดียจะห้ามการเลือกปฏิบัติทางวรรณะแล้ว และเคยมีประธานาธิบดีที่เป็นดาลิตถึงสองคน แต่ในทางปฏิบัติ การแบ่งแยกและการเหยียดหยามยังคงมีอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกับกลุ่มดาลิตที่ยังคงเผชิญกับการถูกกีดกันและการใช้ความรุนแรง
เรื่องราวของวรรณะและจัณฑาลสะท้อนให้เห็นถึงบาดแผลลึกในสังคมอินเดีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ความเชื่อ และแม้แต่สุขอนามัยของผู้คน และยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขต่อไป





















