การรัดเท้า เทรนด์ความงามสุดสยองในจีนโบราณ
การรัดเท้าเป็นเทรนด์ความงามที่น่าสะพรึงกลัวในจีนโบราณ โดยเริ่มขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์ถังจากหญิงสาวชื่อเยาเหนียง ที่พันเท้าให้มีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยว จนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ทำให้หญิงสาวในราชสำนักและประชาชนทั่วไปทำตาม กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี
กระบวนการรัดเท้านั้นโหดร้ายและเจ็บปวดอย่างยิ่ง โดยจะเริ่มกับเด็กผู้หญิงอายุ 4-8 ขวบ ด้วยการแช่เท้าในน้ำอุ่นผสมสมุนไพร ตัดเล็บให้สั้น แล้วพับนิ้วเท้าทั้งหมด (ยกเว้นนิ้วโป้ง) ลงมา ใช้ผ้าพันรัดให้แน่นเพื่อให้กระดูกเท้าผิดรูป หากไม่หักงอเองก็จะมีการดัด หัก หรือทุบกระดูกเพื่อให้ได้รูปทรงที่ต้องการ บางครั้งถึงขั้นแอบใส่ของมีคมในผ้าพันเพื่อให้เกิดการติดเชื้อและเนื้อเน่า เท้าจะได้เล็กลง การรัดเท้าต้องทำต่อเนื่อง 4-5 ปี โดยมีการแกะออกมาทำความสะอาดและรัดใหม่สลับกันไป
ผลลัพธ์ที่ต้องการคือ "เท้าดอกบัว" ที่มีลักษณะเล็ก นิ้วเท้างอ ปลายเท้าแหลม ฐานเท้าโค้งมน ซึ่งมีการแบ่งระดับความงามเป็น "บัวทอง" (ยาวประมาณ 3 นิ้ว), "บัวเงิน" (ยาวประมาณ 4 นิ้ว) และ "บัวเหล็ก" (ยาวประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งถือว่าไม่สวยงาม) ผู้หญิงที่รัดเท้าสำเร็จจะต้องใส่ "รองเท้าดอกบัว" ขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยตัวเอง การมีเท้าดอกบัวถือเป็นการแสดงถึงความเพียบพร้อมของสตรีในสมัยนั้น
ผู้ชายในสมัยนั้นหลงใหลในเท้าดอกบัวมาก ถึงขั้นมีพิธีกรรมและตำราที่เกี่ยวข้อง สาเหตุสำคัญที่ผู้หญิงต้องยอมทนทรมานกับการรัดเท้าคือค่านิยมเรื่องการแต่งงาน เท้าที่เล็กถือเป็นจุดดึงดูดใจชายหนุ่ม และยังมีความเชื่อผิดๆ ว่าจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและมีลูกง่าย
การต่อต้านการรัดเท้าเริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง โดยแพทย์ชาวตะวันตกและนักปราชญ์ชาวจีนบางส่วน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งถึงสมัยที่จีนเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ในปี 1949 รัฐบาลคอมมิวนิสต์มองว่าการรัดเท้าเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของผู้หญิง จึงประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทำให้ธรรมเนียมนี้ค่อยๆ เสื่อมคลายและหายไปในที่สุด
ปัจจุบัน นักวิชาการบางกลุ่มมองว่าการรัดเท้าอาจมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วย โดยเฉพาะในชนบท ผู้หญิงที่รัดเท้าอาจถูกจำกัดให้อยู่กับงานฝีมือในบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป





















