เสียงที่ไม่ได้ฟัง
เสียงที่ไม่ได้ฟัง
โดย อักษราลัย
ทุกวันจันทร์ ณ สวนสาธารณะเล็ก ๆ กลางเมือง คุณยายวัยเจ็ดสิบสามในชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อนจะนั่งที่ม้านั่งไม้ใต้ต้นจามจุรีเก่าแก่ สีของมันซีดจางจากแดดและฝน แต่ยังแข็งแรงพอที่จะแบกรับน้ำหนักและเรื่องราวของผู้คน ถุงผ้าใบเล็กวางชิดข้างกาย ภายในมีแก้วน้ำชาอุ่นและสมุดบันทึกปกหนังเก่า ๆ ที่มุมปกมีรอยยับย่นเล็กน้อย บางหน้ามีรอยน้ำหยดลงจนกระดาษย่น ไม่ใช่หยดน้ำฝน แต่เป็นหยดน้ำจากดวงตาคู่ที่เคยสดใสกว่านี้
สายลมอ่อนพัดพลิกหน้ากระดาษในสมุดบันทึก คุณยายรีบเอื้อมมือไปกดทับไว้ จากนั้นค่อย ๆ เปิดอ่านอย่างใจเย็น ปากกาสีน้ำเงินที่หมึกเริ่มเหือดแห้งคั่นอยู่ระหว่างหน้า นิ้วที่เริ่มมีริ้วรอยลูบไล้ไปตามตัวอักษรบนกระดาษ ราวกับกำลังสัมผัสถึงความทรงจำที่จารึกอยู่
ฝั่งตรงข้ามสวนสาธารณะคือร้านกาแฟขนาดกะทัดรัด ชื่อร้าน "หยุดพัก" เป็นคาเฟ่สไตล์มินิมอลที่จัดแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และต้นไม้เล็ก ๆ วางประดับตามมุมต่าง ๆ กลิ่นกาแฟคั่วบดใหม่ลอยออกมาจนถึงหน้าร้าน เชิญชวนให้คนเดินผ่านไปมาหยุดพักความเร่งรีบชั่วขณะ
คนินก้าวเข้าสู่ร้านกาแฟตามปกติ ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ผิวขาวซีด ใบหน้าเรียวยาวกับแว่นตากรอบบางสีดำทำให้เขาดูเป็นคนจริงจัง ผมสั้นสีดำสนิทถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็คสีเทาเข้ากันอย่างลงตัว สะท้อนบุคลิกที่พิถีพิถันและเป็นระเบียบ
"อเมริกาโน่ร้อนแก้วใหญ่ เหมือนเดิมครับ" คนินสั่งเครื่องดื่มกับบาริสต้าสาวที่ยิ้มรับด้วยความคุ้นเคย เขาเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้ทุกวันจันทร์ เขาทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อาวุโสที่บริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่ง เจ้าของผลิตภัณฑ์แอปพลิเคชันที่กำลังเป็นที่นิยม แต่ความสำเร็จนั้น ก็มาพร้อมกับความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
"วันนี้มาเช้ากว่าปกตินะคะ" บาริสต้าทักทายพลางชงกาแฟอย่างคล่องแคล่ว
"มีงานเร่งน่ะครับ ต้องส่งให้เสร็จก่อนประชุมบ่ายสาม" คนินตอบสั้น ๆ ขณะล้วงกระเป๋าหยิบแล็ปท็อปออกมาวางบนโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง โต๊ะตัวเดิมที่เขานั่งประจำทุกสัปดาห์
มุมนี้ของร้านเงียบสงบ และมีวิวมองออกไปยังสวนสาธารณะได้อย่างชัดเจน คนินเปิดคอมพิวเตอร์ สวมหูฟังไร้สาย นิ้วเรียวยาวไล่ไปตามแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว สมองของเขาจดจ่ออยู่กับตัวแปรและชุดคำสั่งที่ซับซ้อน แต่ด้วยความเคยชิน สายตาของเขาเหลือบไปมองนอกหน้าต่างเป็นระยะ
จากตรงนี้ เขามองเห็นคุณยายในชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อน นั่งอยู่ที่ม้านั่งเดิมใต้ต้นไม้ใหญ่ ภาพที่เขาคุ้นตา ทุกวันจันทร์ ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา บางครั้งคุณยายจะพูดคุยกับคนที่เดินผ่าน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้สูงอายุด้วยกัน บางคนหยุดฟัง พูดคุยด้วยสักพัก แล้วเดินจากไป แต่ส่วนใหญ่ผู้คนมักเดินผ่านไป ความเร่งรีบของชีวิตในเมืองไม่เปิดโอกาสให้หยุดพักแม้เพียงชั่วครู่
คนินสังเกตว่าวันนี้คุณยายดูเศร้ากว่าปกติ ดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งที่ไม่มีวันมาถึง ไหล่ที่เคยตั้งตรงห่อลงเล็กน้อย ราวกับแบกรับน้ำหนักบางอย่างที่มองไม่เห็น
กาแฟมาเสิร์ฟพร้อมกับรอยยิ้มของบาริสต้า คนินก้มหน้าจดจ่อกับงานต่อ ข้อความแจ้งเตือนผุดขึ้นบนหน้าจอแล็ปท็อปเป็นระยะ อีเมลจากเพื่อนร่วมงาน ข้อความจากหัวหน้า การแจ้งเตือนถึงกำหนดส่งงานที่ใกล้เข้ามา แต่ละครั้งที่มีเสียงเตือน กระแสความคิดของเขาก็ถูกขัดจังหวะ
ขณะที่คนินกำลังพยายามจดจ่อกับโค้ดตรงหน้า จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาจากภายนอก เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาพบว่าคุณยายกำลังมองมาที่ร้านกาแฟ สายตาประสานกับเขาพอดี คุณยายยกมือขึ้นโบกเบา ๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนโยน
คนินตกใจ เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคุณยายมาก่อน แม้จะเห็นท่านเป็นประจำทุกสัปดาห์ เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจโบกมือตอบ แล้วรีบก้มหน้ากลับไปจดจ่อกับงานต่อ แต่สมาธิของเขาถูกทำลายไปแล้ว สายตาของคุณยายยังคงติดอยู่ในความคิด มีบางสิ่งในดวงตาคู่นั้นที่ทำให้เขารู้สึกลังเล เหมือนการเชื้อเชิญที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด
คนินมองนาฬิกาที่มุมจอคอมพิวเตอร์ งานยังเหลืออีกมาก กาแฟยังร้อน เขาควรจะโฟกัสกับงาน ใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่า แต่สายตาของเขากลับเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
คุณยายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ตอนนี้ท่านกำลังเปิดสมุดบันทึก มองไปยังหน้ากระดาษด้วยแววตาเศร้าสร้อย มือที่เคยแข็งแรงในอดีตสั่นเทาเล็กน้อยขณะพลิกหน้ากระดาษ
"แค่ห้านาที" คนินบอกตัวเอง "ฉันมีเวลาห้านาที แค่ไปถามไถ่สักหน่อย แล้วกลับมาทำงานต่อ"
เหตุผลหลายข้อผุดขึ้นในความคิด ฉันอาจได้รู้จักเรื่องราวน่าสนใจจากคนต่างรุ่น, ถือเป็นการหยุดพักสมองสักครู่, คุณยายอาจต้องการความช่วยเหลือ และถ้าฉันรอให้มีเวลาพร้อมจริง ๆ วันนั้นอาจไม่มีมาถึง
คนินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดหูฟังออกจากหู เซฟงานที่กำลังทำ แล้วปิดแล็ปท็อป เขาจิบกาแฟอึกสุดท้าย หยิบแจ็คเก็ตตัวบางคลุมเสื้อเชิ้ต ก่อนจะเดินออกจากร้าน ข้ามถนนเล็ก ๆ ที่คั่นกลางระหว่างร้านกาแฟกับสวนสาธารณะ
แสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าวันจันทร์สาดส่องลงมาสร้างเงาของต้นไม้ทาบทับลงบนพื้นทางเดิน เสียงนกร้องและเสียงลมพัดใบไม้ไหวเป็นทำนองเบา ๆ ช่างแตกต่างจากเสียงการแจ้งเตือนและเสียงรบกวนในร้านกาแฟ
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ คนินสังเกตเห็นรายละเอียดมากขึ้น คุณยายสวมแว่นตากรอบบางสีทอง ผมสีขาวเงินรวบเป็นมวยเรียบร้อยด้านหลัง ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แต่ยังคงความสง่างาม เสื้อผ้าแม้จะเรียบง่ายแต่สะอาดเรียบร้อย สมุดบันทึกบนตักมีภาพถ่ายขาวดำเก่า ๆ แทรกอยู่ระหว่างหน้า
"สวัสดีครับ คุณยาย ให้ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ?" คนินทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
คุณยายเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที ราวกับได้รับของขวัญที่รออยู่นานแสนนาน
"ได้สิจ๊ะ นั่งลงเถอะ" คุณยายตอบพร้อมตบมือเบา ๆ ลงบนม้านั่งข้าง ๆ "ยายเห็นคุณนั่งอยู่ในร้านกาแฟบ่อย ๆ ยายสังเกตเห็นว่าทุกวันจันทร์ คุณมักจะมานั่งริมหน้าต่างตรงนั้น"
คนินนั่งลง เว้นระยะห่างพอประมาณ เขารู้สึกประหลาดใจที่คุณยายสังเกตเห็นเขามาตลอด ทั้งที่เขาแทบไม่เคยเงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
"ผมชื่อคนินครับ" เขาแนะนำตัว
"ยายชื่อลำพูน" คุณยายตอบพร้อมรอยยิ้ม "ชื่อเหมือนต้นไม้ แต่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนต้นไม้แล้วล่ะ"
"คุณยายลำพูนมานั่งตรงนี้ทุกวันจันทร์เลยเหรอครับ?" คนินถาม พยายามเริ่มบทสนทนา
"ใช่จ้ะ ห้าปีแล้วล่ะ ตั้งแต่ตาของยาย...จากไป" คุณยายลำพูนพลิกหน้าสมุด รูปชายชราในชุดทหารปรากฏขึ้น ภาพถ่ายเก่าสีซีดเล็กน้อย แต่ยังเห็นได้ชัดว่าชายในภาพมีสีหน้าเคร่งขรึม ยืนตรงในชุดเครื่องแบบทหาร "นี่ตาของยายจ้ะ ชื่อจรัญ"
"เขาเป็นทหารเหรอครับ?" คนินถาม มองภาพถ่ายด้วยความสนใจ
"ใช่จ้ะ เป็นทหารรบในสงครามเกาหลี" คุณยายลำพูนลูบภาพถ่ายเบา ๆ "เราพบกันตอนเขากลับมาจากสงคราม ตอนนั้นยายอายุยี่สิบ ทำงานเป็นครูสอนชั้นประถม ตาจรัญมาเยี่ยมหลาน ที่เป็นลูกศิษย์ยาย"
ดวงตาของคุณยายลำพูนเป็นประกายขึ้นเมื่อเล่าถึงอดีต เหมือนได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่มีความสุข
"ตาเป็นคนช่างเล่า" คุณยายลำพูนเล่าต่อ "มีเรื่องราวมากมาย ทั้งเรื่องสนุก เรื่องตลก และเรื่องเศร้า แต่..." คุณยายชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไป "ไม่มีใครอยากฟังเรื่องสงคราม ลูก ๆ หลาน ๆ ก็บอกให้ตาเล่าเรื่องสนุก ๆ แทน"
คนินฟังอย่างสงบ ไม่รีบร้อน ไม่ดึงโทรศัพท์ออกมาดู ไม่มองนาฬิกา เขาปล่อยให้คุณยายเล่าในจังหวะของท่านเอง
"ตอนเขายังมีชีวิตอยู่ ยายก็ยุ่งมากจ้ะ" คุณยายลำพูนเล่าต่อ น้ำเสียงแผ่วลง "ลูก ๆ งานบ้าน งานสอนหนังสือ มีอะไรต้องทำตลอด ตาชอบเล่าเรื่องเดิม ๆ บางทียายก็ฟังแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ บางทีก็บอกให้เขาเก็บไว้เล่าวันหลัง..." น้ำเสียงคุณยายสั่นเล็กน้อย
"วันหลังที่ไม่เคยมาถึง" คุณยายลำพูนกระซิบ
คนินพยักหน้า เขารู้สึกถึงความเศร้าในน้ำเสียงของคุณยาย ความเงียบโอบล้อมทั้งคู่ชั่วขณะ บางครั้งความเงียบก็บอกเล่าเรื่องราวได้มากกว่าคำพูด
"ตาจากไปกะทันหัน" คุณยายลำพูนเล่าต่อ น้ำตาเอ่อคลอ "วันนั้นเป็นวันจันทร์ วันที่ยายต้องไปสอนหนังสือแต่เช้า ตาลุกขึ้นมาส่งยายที่หน้าประตู เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะเล่า มีเรื่องที่เก็บไว้ในใจมานาน..."
คุณยายลำพูนหยุดพูด สูดหายใจลึก ๆ พยายามข่มความรู้สึก
"แต่ยายรีบ" เธอพูดต่อเสียงแผ่ว "ยายบอกให้เก็บไว้ก่อน บอกว่าเย็นนี้ค่อยคุยกัน แล้วรีบออกจากบ้านไป..." เธอพลิกหน้าสมุด ภาพถ่ายของบ้านไม้หลังเก่าปรากฏขึ้น "พอกลับมา เขาก็..."
คำพูดขาดหายไป แทนที่ด้วยเสียงสะอื้นเบา ๆ
คนินวางมือลงบนม้านั่ง ไม่ใกล้เกินไป แต่ใกล้พอที่จะบอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ กำลังฟัง ทุกคำพูด ทุกความรู้สึก ทุกความเงียบที่แฝงอยู่ระหว่างประโยค
"ตาเสียชีวิตตอนเที่ยงวัน" คุณยายลำพูนเล่าต่อ "ลูกสาวกลับมาจากที่ทำงานมาหาข้าวให้ตากิน เจอตานอนอยู่ที่เก้าอี้โยก กำลังดูรูปเก่า ๆ แล้วจากไปอย่างสงบ"
"ยายเสียใจมาก" คุณยายลำพูนเช็ดน้ำตา "เสียใจที่ไม่เคยฟังอย่างตั้งใจ เสียใจที่คิดว่าต้องรอให้มีเวลา มีความพร้อม ถึงจะฟังอย่างเต็มที่... ยายคิดว่ามีเวลาอีกมาก แต่ความจริงคือ..."
"เราไม่มีทางรู้ว่ามีเวลาเหลือเท่าไหร่" คนินเอ่ยเบา ๆ
คุณยายลำพูนพยักหน้า ยิ้มผ่านดวงตาที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา
"หลังงานศพ ยายพบสมุดเล่มนี้ในลิ้นชักของตา" คุณยายลำพูนลูบปกสมุดที่วางอยู่บนตัก "เขาบันทึกเรื่องราวไว้ทั้งหมด ทั้งที่เคยเล่า ทั้งที่ยังไม่เคยเล่า เรื่องราวชีวิตในค่ายทหาร เพื่อนที่เสียชีวิตในสนามรบ คำสัญญาที่เขาให้ไว้กับเพื่อนที่จากไป ความฝันที่เขาไม่เคยบอกใคร..."
คุณยายลำพูนพลิกไปยังหน้าสุดท้ายของสมุด ตัวอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ด้วยลายมือที่สั่นเทาเล็กน้อยว่า
"สิ่งที่ผมต้องการ ไม่ใช่ใครที่ฟังเรื่องราวของผมทั้งหมด แต่เป็นใครสักคนที่ฟังด้วยหัวใจ แม้เพียงแค่ครู่เดียว กับสิ่งที่ผมพยายามจะบอก"
คนินอ่านข้อความนั้นช้า ๆ ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ เขานึกถึงการสนทนากับพ่อแม่ที่บ้านเกิด ที่เขามักจะฟังอย่างไม่ตั้งใจ ฟังแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ฟังแบบผ่าน ๆ ขอไปที ขณะสายตายังคงจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือ คิดไปว่ายังมีเวลาอีกมาก ยังมีวันหยุดอีกหลายครั้ง ยังมีเทศกาลอีกหลายหน
คนินมองนาฬิกา สิบห้านาทีผ่านไปแล้ว ไม่ใช่ห้านาทีอย่างที่ตั้งใจ แต่เขาไม่รู้สึกเร่งรีบอีกต่อไป ความกังวลเรื่องงานยังอยู่ แต่มันเบาบางลงจนแทบไม่รู้สึก
"คุณยายมาที่นี่ทุกวันจันทร์ เพื่อ...?" คนินถาม ทั้งที่พอจะเดาคำตอบได้
"เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของตา" คุณยายลำพูนตอบอย่างใจเย็น "เพื่อให้โอกาสเล็ก ๆ กับคนที่เดินผ่านไป เผื่อจะมีใครสักคนมีเวลาฟัง ไม่ต้องฟังทั้งหมด แค่สักเสี้ยวหนึ่งของชีวิตตา แค่นั้นก็พอแล้ว" เธอหันมาสบตาคนิน "และวันนี้ คุณได้ให้สิ่งที่ยายรอคอยมาตลอดห้าปี"
คนินรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปภายในตัวเขา ไม่ใช่เพราะเขาได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่เพราะเขาได้เรียนรู้ว่าการฟังด้วยหัวใจเป็นสิ่งที่ทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ชีวิตพร้อม ไม่ต้องรอให้งานเสร็จ ไม่ต้องรอให้มีเวลามากพอ
"แล้ว...เรื่องสำคัญที่คุณตาจะเล่าในวันนั้นคืออะไรครับ? คุณยายรู้หรือเปล่า?" คนินถาม เขารู้สึกว่าต้องถาม รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่คุณยายรอคอยให้มีคนถามมาตลอดห้าปี
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของคุณยายลำพูน แต่รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน
"รู้จ้ะ" คุณยายลำพูนพยักหน้า เสียงสั่นเครือ "ตาเขียนไว้ในหน้าสุดท้ายของบันทึก ว่าเขาอยากจะบอกให้ยายรู้ว่า... ก่อนไปรบ เพื่อนทหารแต่ละคนได้รับจดหมายจากที่บ้าน เพื่อเก็บไว้อ่านยามคิดถึง แต่ตาไม่มีครอบครัว ไม่มีใครส่งจดหมายมาให้... ทหารคนอื่นสงสาร เลยช่วยกันเขียนจดหมายปลอมส่งมาให้ตา"
คุณยายลำพูนพลิกกลับไปยังหน้าก่อนหน้านั้น ภาพถ่ายของซองจดหมายเก่า ๆ ปรากฏขึ้น
"ตาเก็บจดหมายพวกนี้ไว้ตลอด แม้จะรู้ว่าเป็นของปลอม แต่มันให้กำลังใจในยามยาก และเมื่อกลับมา เขาตั้งใจจะหาใครสักคนที่จะเขียนจดหมายให้เขาจริง ๆ... แล้วเขาก็พบยาย"
คุณยายลำพูนเปิดซองจดหมายที่แทรกอยู่ในสมุด หยิบกระดาษที่พับไว้อย่างดีออกมา
"และในวันนั้น... วันที่ยายรีบออกจากบ้านไป... ตาต้องการจะบอกว่า เขาซ่อนจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้ยาย เขียนถึงยายเผื่อวันที่เขาจากไป และเขียนจดหมายอีกฉบับไว้ทุกปี ในวันครบรอบแต่งงานของเรา... ซ่อนไว้ที่เดียวกันทั้งหมด"
คนินฟัง ตาเริ่มร้อนผ่าว นึกถึงทุกโอกาสที่เขาเองก็รีบเร่ง ทุกการสนทนาที่เขาแค่พยักหน้ารับทั้งที่ไม่ได้ฟังจริง ๆ
"ยายไม่เคยเปิดอ่านเลยสักฉบับ" คุณยายลำพูนยอมรับ "เพราะกลัวว่าถ้าอ่านหมดแล้ว จะไม่มีอะไรเหลือ... แต่ตอนนี้ยายคิดว่า... ถึงเวลาแล้ว"
คนินมองนาฬิกาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องเวลา แต่เพราะเขารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างสำคัญกว่าตัวเลขบนหน้าปัด
"คุณยายครับ..." คนินเอ่ยเบา ๆ "ผมมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนต้องกลับไปทำงาน คุณยายจะให้ผมไปส่งที่บ้านไหมครับ? ผมอยากฟังเรื่องราวของตาอีก"
ดวงตาของคุณยายลำพูนเปล่งประกาย รอยยิ้มของท่านสว่างกว่าแสงแดดที่ส่องลงมา
"ได้สิจ๊ะ"
หนึ่งเดือนผ่านไป
ทุกวันจันทร์ ม้านั่งไม้ริมสวนสาธารณะไม่เคยว่างเปล่า มีทั้งคุณยายลำพูนในชุดผ้าฝ้าย และคนินพร้อมแล็ปท็อปและกาแฟอเมริกาโน่ บางครั้งมีคนเดินผ่านมาหยุดฟัง แล้วนั่งลงร่วมวง
คุณตาจรัญเล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษรในจดหมาย คุณยายลำพูนถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และคนินรับฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
"แล้วงานล่ะ?" คุณยายลำพูนถามในวันหนึ่ง "ไม่เป็นไรหรือที่มานั่งฟังคนแก่เล่าเรื่องเก่า ๆ?"
คนินส่ายหน้า ยิ้มอย่างสบายใจ "ไม่เป็นไรครับ ผมจัดตารางใหม่ แบ่งเวลาสำหรับสิ่งสำคัญ งานก็สำคัญ แต่การรับฟังก็สำคัญไม่แพ้กัน"
เขานึกถึงการพูดคุยกับพ่อแม่เมื่อสัปดาห์ก่อน ครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาไม่ได้ถือโทรศัพท์ไปด้วยขณะคุยกัน และครั้งแรกที่เขาได้ยินพ่อพูดถึงความหวังที่พ่อมีต่อชีวิตตอนหนุ่ม ๆ เรื่องราวที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
บนม้านั่งตัวเดิม ใต้ต้นจามจุรีที่ใบร่วงโรย คนินได้เรียนรู้ว่าการฟังไม่ใช่แค่การรอให้อีกฝ่ายพูดจบ แต่เป็นการมอบพื้นที่ในหัวใจ การให้ที่ไม่ต้องรอความพร้อม การแบ่งปันเวลาที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ บางครั้ง การมีคนรับฟังแค่เสี้ยวเดียวด้วยหัวใจ...ยังดีกว่ารอให้มีคนฟังทั้งหมดในวันที่อาจไม่มีวันมาถึง
คนินเขียนลงในสมุดบันทึกของตัวเอง
"อย่าเก็บคำรักไว้ในใจ รอโอกาสพิเศษที่อาจไม่มีวันมาถึง เพราะทุกลมหายใจคือโอกาสพิเศษ ทุกการมีชีวิตอยู่คือวันสำคัญ จงรัก จงให้ จงฟัง ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ เราไม่อาจควบคุมความยาวของชีวิต แต่เราเลือกได้ว่าจะใช้ความกว้างของชีวิตอย่างไร จะปล่อยให้วันเ
วลาผ่านไปในความเร่งรีบ หรือจะให้แต่ละวันมีคุณค่าด้วยการรับฟังด้วยหัวใจ..."

















