อุทยานแห่งชาติ ทะเลสาบพลิตวิเซ่ (Plitvice Lakes National Park)
**อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ่** (ภาษาโครเอเชีย: Nacionalni park Plitvička jezera หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Plitvice, อ่านออกเสียงว่า \[plîtʋitse]) เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของประเทศโครเอเชีย ในปี ค.ศ. 1979 อุทยานแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ด้วยคุณค่าความงดงามของธรรมชาติ ทั้งทะเลสาบหินปูน ถ้ำ และน้ำตกที่เชื่อมต่อกันอย่างสวยงามและเป็นระบบ
อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1949 ตั้งอยู่ในเขตภูเขาหินปูนคาสต์ ของภาคกลางประเทศโครเอเชีย บริเวณชายแดนติดกับประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เส้นทางคมนาคมสายเหนือ-ใต้ที่สำคัญของประเทศ พาดผ่านพื้นที่ของอุทยาน ซึ่งเชื่อมโยงพื้นที่แผ่นดินใหญ่ของโครเอเชีย เข้ากับเขตชายฝั่งทะเลเอเดรียติก
พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองของอุทยานครอบคลุมถึง 296.85 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 73,350 เอเคอร์) โดยประมาณ 90% ของพื้นที่นี้ตั้งอยู่ในเขตเทศมณฑลลีคา-เซนย์ (Lika-Senj County) ส่วนอีก 10% ที่เหลือตั้งอยู่ในเขตเทศมณฑลการ์โลวัค (Karlovac County)
ในแต่ละปี อุทยานแห่งชาติแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า 1 ล้านคน จึงนับได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโครเอเชีย ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานในช่วงฤดูร้อน (อ้างอิงปี 2024) อยู่ระหว่าง 10 ถึง 40 ยูโรต่อผู้ใหญ่หนึ่งคนต่อวัน
พื้นที่
อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ มีชื่อเสียงระดับโลก จากทะเลสาบที่เรียงตัวเป็นชั้นอย่างสวยงาม สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ทั้งหมด 16 แห่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของแม่น้ำสายเล็ก ๆ หลายสายและแม่น้ำใต้ดินในเขตหินปูน ทะเลสาบเหล่านี้เชื่อมต่อถึงกันตามทิศทางการไหลของน้ำ โดยถูกกั้นด้วยเขื่อนธรรมชาติ ที่เกิดจากตะกอนหินทราเวอร์ทีน ซึ่งสะสมขึ้นโดยกระบวนการทางธรรมชาติร่วมกันของมอส สาหร่าย และแบคทีเรีย
เขื่อนทราเวอร์ทีนที่เปราะบางเหล่านี้ เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างน้ำ อากาศ และพืชพรรณ โดยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหล่านี้จะเกาะตัวกันเป็นชั้น ๆ จนก่อตัวเป็นเขื่อนหินทราเวอร์ทีน ซึ่งสามารถเติบโตสูงขึ้นได้ประมาณ 1 เซนติเมตรต่อปี
ทะเลสาบทั้ง 16 แห่งถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มทะเลสาบตอนบนและตอนล่าง ซึ่งเกิดจากน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา โดยลดระดับความสูงจาก 636 เมตรลงสู่ระดับ 503 เมตร (ประมาณ 2,087 ถึง 1,650 ฟุต) ในระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ทะเลสาบทั้งหมดนี้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร โดยน้ำที่ไหลออกจากทะเลสาบแห่งล่างสุดจะไหลรวมกันกลายเป็นแม่น้ำโครานา (Korana)
ทะเลสาบเหล่านี้มีชื่อเสียงจากสีสันที่หลากหลาย ตั้งแต่สีฟ้าอ่อน สีเขียว สีเทา จนถึงสีน้ำเงิน ซึ่งสีของน้ำจะเปลี่ยนไปตามปริมาณแร่ธาตุหรือสิ่งมีชีวิตในน้ำ และมุมของแสงแดดที่ส่องลงมา
นิรุกติศาสตร์ (ที่มาของชื่อ)
ชื่อ "พลิตวิเซ่" (Plitvice) ปรากฏในเอกสารเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1777 โดยนักบวชชื่อ โดมินิค วูกาโซวิช (Dominik Vukasović) แห่งเมืองโอโตชัค (Otočac) ชื่อดังกล่าวตั้งขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ก่อกำเนิดทะเลสาบเหล่านี้ โดยธรรมชาติได้สร้างแอ่งตื้น (ในภาษาโครเอเชีย pličina หรือ plitvak, plitko หมายถึง "ตื้น") ซึ่งต่อมาได้มีน้ำเข้ามาเติมเต็มมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ และเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศของบริเวณนี้ผ่านกระบวนการสะสมตะกอนหินทราเวอร์ทีนที่ชะลอและกักเก็บน้ำไว้ และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
นักวิทยาศาสตร์บางท่านเชื่อว่า ชื่อของอุทยาน อาจมีที่มาจากแม่น้ำเล็ก ๆ ชื่อ Plitvica ซึ่งไหลเข้าทะเลสาบพลิตวิเซ่ทางปลายด้านล่างของทะเลสาบ ปัจจุบันยังมีหมู่บ้านที่ใช้ชื่อเดียวกัน น้ำทั้งหมดจากทะเลสาบจะรวมกัน และไหลต่อไป เป็นแม่น้ำโครานาในทิศเหนือ
ที่ตั้ง
ทะเลสาบพลิตวิเซ่ ตั้งอยู่ในแอ่งระหว่างภูเขามาลา คาเปลา (Mala Kapela) ทางทิศตะวันตก และภูเขาลีชกา ปลเยเซวิกา (Lička Plješivica) ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาดีนาริกแอลป์ (Dinaric Alps) อุทยานแห่งชาตินี้ตั้งอยู่บนถนนสาย D1 ระหว่างเมืองซลุนจ์ (Slunj) และโคเรนิกา (Korenica) ใกล้กับชายแดนของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
ระยะทางที่ใกล้ที่สุด จากชายฝั่งทะเลเอเดรียติก มายังอุทยานแห่งชาตินี้ คือ 55 กิโลเมตร หากเดินทางโดยถนนจากเมืองเซนย์ (Senj) ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่ง ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 110 กิโลเมตร ต้องข้ามเทือกเขาเวลบิท (Velebit) เพื่อเข้าสู่ที่ราบคาสต์ของลีคา ซึ่งประกอบด้วยแอ่งหินคาสต์หลายแห่ง เช่น แอ่งกัคโค (Gacko polje)
ถนนสายหลักที่เชื่อมภาคเหนือ-ใต้ของประเทศคือทางหลวง A1 (ซาเกร็บ–สปลิต) ซึ่งวิ่งผ่านทางตะวันตกของอุทยานประมาณ 50 กิโลเมตร ผู้ที่ต้องการเข้าอุทยานสามารถออกจากทางด่วนได้ที่จุด Karlovac (ทิศเหนือ), Otočac (ทิศตะวันตก) หรือ Gornja Ploča (ทิศใต้)
สนามบินที่ใกล้อุทยานมากที่สุดคือ สนามบินซาดาร์ ซาเกร็บ และริเยกา สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดคือ Josipdol และ Plaški แต่ยังไม่มีรถโดยสารประจำทางที่เชื่อมโยงจากสถานีรถไฟเหล่านี้มายังอุทยาน อย่างไรก็ตาม อุทยานสามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกโดยรถโดยสารประจำทางจากเมืองซาเกร็บ คาร์โลวัค ซาดาร์ หรือสปลิต
พื้นที่ของอุทยานครอบคลุมสองเขตการปกครอง ได้แก่ เทศมณฑลลีคา-เซนย์ (90.7%) และเทศมณฑลคาร์โลวัค (9.3%) อุทยานแห่งนี้จึงอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลกลาง พื้นที่ผิวน้ำทั้งหมดประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร โดยทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งคือ Prošćansko jezero และ Kozjak ซึ่งรวมกันครอบคลุมประมาณ 80% ของพื้นที่น้ำทั้งหมด ทะเลสาบทั้งสองยังเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุด โดยลึก 37 เมตร และ 47 เมตรตามลำดับ
ที่ทะเลสาบโคซยัค (Kozjak) มีการใช้เรือไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีเสียงดัง ทะเลสาบอื่น ๆ ไม่มีความลึกเกิน 25 เมตร ความต่างระดับความสูงของทะเลสาบแรกถึงทะเลสาบสุดท้ายอยู่ที่ 133 เมตร (436 ฟุต)
น้ำตกที่สูงที่สุดในอุทยานคือ "น้ำตกใหญ่" (Veliki slap) ซึ่งสูง 78 เมตร และ Veliki Prštavac ซึ่งสูง 28 เมตร
ภายในอุทยานมีชุมชนเล็ก ๆ จำนวน 19 แห่ง รวมกันเป็นเทศบาลทะเลสาบพลิตวิเซ่ (Plitvička Jezera) โดยที่ทำการเทศบาลตั้งอยู่ในเมืองโคเรนิกา พื้นที่ทะเลสาบพลิตวิเซ่ถือเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคประวัติศาสตร์ของลีคา (Lika) และคอร์ดุน (Kordun) ในสมัยสงครามออตโตมัน พื้นที่นี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของเขตแดนทหารโครเอเชีย ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสภาสงครามแห่งฮับส์บูร์ก
ภูมิประเทศและธรณีวิทยา
ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เฉพาะ ของทะเลสาบพลิตวิเซ่ และลักษณะภูมิอากาศเฉพาะตัวของพื้นที่นี้ มีส่วนช่วยในการก่อเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันหลากหลาย และความหลากหลายทางชีวภาพ แม้จะอยู่ใกล้เขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน แต่ภูมิอากาศของพื้นที่นี้กลับเป็นแบบภูเขาปานกลาง เพราะมีเทือกเขาเวลบิทเป็นแนวกั้นระหว่างเขตชายฝั่งทะเลกับที่ราบสูงลีคา ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาได้มีการเล่าขานตำนานต่าง ๆ เกี่ยวกับเทือกเขาแห่งนี้
ความอุดมสมบูรณ์ของน้ำ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสภาพภูมิประเทศนั้น ส่งผลโดยตรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ ทะเลสาบพลิตวิเซ่ล้อมรอบด้วยภูเขาหลายลูก ด้านตะวันตกถูกขนาบด้วยภูเขามาลา คาเปลา ส่วนด้านตะวันออกถูกล้อมด้วยภูเขาลีชกา ปลเยเซวิกา ซึ่งเป็นพรมแดนติดกับประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบพลิตวิเซ่ (Plitvice plateau) ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาสามลูกที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาดีนาริกแอลป์ ได้แก่ ภูเขาลีชกา ปลเยเซวิกา (ยอดเขาโกลา ปลเยเชวิกา 1,640 เมตร), ภูเขามาลา คาเปลา (ยอดเขาเซลีชกี วรุค 1,280 เมตร) และเมดเวอดแยค (884 เมตร)
ภูเขาเหล่านี้ ปกคลุมด้วยป่าไม้ และทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บน้ำ รวมถึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด ความแตกต่างของระดับความสูง ในพื้นที่ขนาดเล็ก ระหว่างเทือกเขาทางตอนใต้ กับแม่น้ำโครานาทางตอนเหนือ ยังเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพของภูมิภาคนี้ โดยมีความต่างระดับทั้งหมดในอุทยานอยู่ที่ 912 เมตร จุดสูงสุดคือยอดเขา Seliški Vrh ที่ระดับความสูง 1,279 เมตร และจุดต่ำสุดคือสะพานข้ามแม่น้ำโครานาที่ระดับความสูง 367 เมตร
**อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ตั้งอยู่บนหินคาร์สต์ ซึ่งประกอบด้วยหินโดโลไมต์และหินปูนเป็นหลัก พร้อมทั้งมีทะเลสาบและถ้ำจำนวนมาก นี่เองที่เป็นลักษณะเด่นที่สุดของทะเลสาบในพื้นที่นี้** ถ้ำที่สามารถเยี่ยมชมได้ใกล้กับทะเลสาบ ได้แก่ ถ้ำโกลุบญาชา (Golubnjača Cave) ความยาว 145 เมตร ตั้งอยู่ก่อนถึงน้ำตกโครานาแห่งที่สอง และถ้ำชูปลญารา (Šupljara Cave) ความยาว 68 เมตร ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบคาลูเดอโจแวตส์ (Lake Kaluđerovac) ถ้ำอื่น ๆ ในพื้นที่ได้แก่ ถ้ำมรัชนา (Mračna Cave) ยาว 160 เมตร ถ้ำวีลา เยเซอร์คินเย (Vila Jezerkinje Cave) ยาว 104 เมตร และถ้ำโกลุบญาชาที่ทุ่งโฮโมลยาชโก (Homoljačko Field) ยาว 153 เมตร
ภายในอุทยาน ยังมีปล่องถ้ำหรือหลุมลึกหลายแห่ง เช่น ปล่องถ้ำชูดินกา (Čudinka pit-cave) ที่ลึก 203 เมตร และปล่องจามา ณ เวอร์ชิช (Jama on Vršić) ที่ลึก 154 เมตร และยาว 110 เมตร ในถ้ำโรดิชา (Rodića Cave) บริเวณแถบแซร์ติช โปลยานา (Sertić Poljana) และถ้ำมรัชนา ที่ทะเลสาบตอนล่าง มีการค้นพบกระดูกหมีถ้ำ จึงถือเป็นแหล่งที่มีความสำคัญทางบรรพชีวินวิทยา
แม่น้ำ
**ทะเลสาบพลิตวิเซ่เริ่มต้นจากทางตอนใต้ของพื้นที่อุทยาน** โดยเกิดจากการบรรจบกันของแม่น้ำบีเยลาริเยกา (Bijela Rijeka – แม่น้ำขาว) และแม่น้ำแครนาริเยกา (Crna Rijeka – แม่น้ำดำ) ทั้งสองสายต้นน้ำนี้อยู่ทางตอนใต้ของเขตเทศบาลพลิตวึชกี เยสโกวัช (Plitvički Ljeskovac) และมาบรรจบกันที่สะพานแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน จากจุดนั้นจนถึงทะเลสาบ น้ำที่ไหลผ่านจะถูกเรียกว่า “มาติกา” (Matica – หมายถึง "กระแสน้ำ", แต่ยังสามารถหมายถึง "ต้นกำเนิด" ได้ด้วย)
บริเวณอ่าวลิมาน (Liman หรือ Limun) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบโพรชชานสโก เยเซโร (Prošćansko jezero) มีแม่น้ำสายเล็กอีกสายหนึ่งไหลลงทะเลสาบ แม่น้ำสายนี้มีน้ำตลอดปีจากแหล่งน้ำใต้ดิน แต่ปริมาณน้ำจะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู บางครั้งมีน้ำจากลำห้วยที่มักจะแห้งแล้ง ไหลลงสู่ทะเลสาบโพรชชานสโกจากทางตะวันตก
แม่น้ำพลิตวิกา (Plitvica) ไหลลงสู่ระบบทะเลสาบที่ตอนเหนือผ่านน้ำตกใหญ่ (Large Waterfall) จุดนี้เรียกว่า “ซัสตัฟซี” (Sastavci – แปลว่า "จุดบรรจบ" หรือ "การรวมตัว") น้ำในระบบทะเลสาบพลิตวิเซ่และแม่น้ำพลิตวิการวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำโครานา (Korana)
ลักษณะของภูมิประเทศใต้ดิน
ภูมิประเทศใต้ดินของทะเลสาบพลิตวิเซ่ ประกอบด้วยโครงสร้างทางธรณีวิทยาหลายแบบ โดยพื้นที่ทั้งหมดของอุทยานแห่งชาตินี้ ถือเป็นส่วนหนึ่ง ของเขตคาร์สต์ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเด่นของเขตคาร์สต์คือหินที่เปราะบางหรือพรุนได้ง่าย โดยส่วนมากเป็นหินปูนหรือโดโลไมต์ ซึ่งนำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์ทางธรณีสัณฐานแบบต่าง ๆ เช่น โดลีนา (dolina – แอ่งยุบ), โปลเย (polje – ทุ่งแอ่งกว้าง), อูวาลา (uvala – แอ่งยุบรวม), ปอโนร์ (ponor – หลุมดูดน้ำ) เป็นต้น
ในอนาคต การศึกษาทางน้ำใต้ดินอาจเป็นสาขาวิจัยที่น่าสนใจสำหรับนักสำรวจถ้ำ (speleologists) เนื่องจากปัจจุบันยังมีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับเส้นทางน้ำใต้ดินเหล่านี้ แม้ว่าโดยทั่วไปอาจดูเหมือนว่าเขตคาร์สต์มีน้ำน้อย แต่จริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้นใต้ดิน ซึ่งมีน้ำอยู่มากมาย
เนื่องจากหินปูนละลายได้ง่าย แม่น้ำจำนวนมาก จึงไหลซึมหายลงไปในหิน และก่อตัวเป็นระบบแม่น้ำใต้ดินขนาดใหญ่ เมื่อน้ำใต้ดินไหลไปถึงหินแข็งที่ไม่สามารถซึมผ่านได้ ก็จะโผล่ขึ้นสู่ผิวดินอีกครั้ง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “แม่น้ำใต้ดินคาร์สต์” (ภาษาครัวเอเชีย: rijeka ponornica) และสามารถพบเห็นได้ที่ทะเลสาบพลิตวิเซ่เช่นกัน
การสะสมของตะกอนตูฟา
ตะกอนตูฟา (tufa) ได้เริ่มก่อตัวตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง (Pleistocene) เป็นต้นมา โดยก่อตัวขึ้นในแอ่งหรือบริเวณที่ต่ำระหว่างภูเขาโดยรอบ โดยทั่วไปแล้ว ภูมิประเทศใต้ดินของทะเลสาบพลิตวิเซ่สามารถแบ่งออกได้เป็นสองเขตคือ:
* **ทะเลสาบตอนบน (Upper Lakes)** ทางตอนใต้ ประกอบด้วยหินโดโลไมต์เป็นหลัก ซึ่งแข็งกว่าหินปูนเล็กน้อย แต่เปราะง่ายและมีความสามารถในการดูดซึมน้ำต่ำ
* **ทะเลสาบตอนล่าง (Lower Lakes)** ทางตอนเหนือ ประกอบด้วยหินปูนเป็นหลัก ซึ่งแม้จะหนาแน่นและแข็งกว่า แต่กลับมีความสามารถในการดูดซึมน้ำสูงกว่า
จากมุมมองทางอากาศ สามารถสังเกตความแตกต่างระหว่างภูมิประเทศ ของทะเลสาบตอนบนและตอนล่างได้อย่างชัดเจน ทะเลสาบตอนบน มีทะเลสาบเล็กหลายแห่ง ที่ไหลขนานกันในแนวตื้น ส่วนทะเลสาบตอนล่างมีขนาดใหญ่กว่า และเจาะทะลุผ่านหินจนเกิดเป็นหุบเขา ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นแม่น้ำโครานา
อิทธิพลของพืชพรรณ
มอส สาหร่าย และพืชน้ำ มีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิประเทศ อันเป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบพลิตวิเซ่ และแนวกั้นน้ำตาฟา (tufa barriers) จนถึงช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 มีการสันนิษฐานกันว่า พืชสกัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากน้ำ เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง และปล่อยออกซิเจนกลับคืนสู่ระบบ ซึ่งส่งผลให้เกิดการตกตะกอนของไฮโดรเจนคาร์บอเนต (เรียกว่ากระบวนการเกิดจากพืช หรือ *phytogenesis*) นักวิทยาศาสตร์ผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้อย่างแข็งขันคือ *อิโว เปอวาเล็ก (Ivo Pevalek)* ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันให้พื้นที่ทะเลสาบได้รับการคุ้มครองในระดับชาติ
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า พืชพรรณไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการสกัดคาร์บอเนตออกจากน้ำที่ไหลผ่าน แต่พืชมีส่วนร่วมทางอ้อมในการก่อเกิดหินตาฟา (tufa) กล่าวคือ เพื่อให้การตกตะกอนเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีปัจจัยอย่างการชะลอความเร็วของกระแสน้ำ การเติมอากาศ และการกระจายตัวของน้ำ พืชมอสตามน้ำตกของทะเลสาบพลิตวิเซ่ จึงทำหน้าที่เป็นฐานให้เกิดการตกตะกอน และส่งผลให้เกิดตะกอนหินตาฟา
แม้ว่ากระบวนการสังเคราะห์แสงของสาหร่ายและมอส ไม่ได้เป็นกลไกหลักในการตกตะกอน แต่กระบวนการนี้ ช่วยเร่งการตกผลึกของแคลไซต์ (calcite) โดยการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำ ซึ่งเอื้อต่อการก่อตัวของตะกอน
กระบวนการเหล่านี้ ได้รับการส่งเสริมโดยแบคทีเรีย และสาหร่ายขนาดจิ๋วนับล้านเซลล์ ที่เจริญเติบโตอยู่บนพืชเหล่านี้ โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จะหลั่งเมือกที่ช่วยให้ผลึกแคลไซต์ขนาดเล็กเกาะติดได้ดี พืชที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในกระบวนการนี้ ได้แก่ มอสในสกุล *Bryum* และ *Cratoneuron*
ยอดอ่อนของมอสมักจะมีสีเขียวและอ่อนนุ่ม โดยมักไม่มีตะกอนตาฟาเกาะติด แต่ยอดที่แก่กว่าจะเริ่มมีคราบตะกอนบาง ๆ สีเหลือง และจะถูกปกคลุมจนแข็งกลายเป็นหินตาฟาที่เกิดจากพืช (*plant-formed travertine*) มอสจึงไม่เพียงแต่ส่งเสริมการสร้างแนวกั้นน้ำตาฟาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของแนวกั้นดังกล่าวอีกด้วย มอสจะถูกหุ้มด้วยตะกอนตาฟา จากนั้นมอสสดจะเติบโตออกมาทับซ้อนอีกชั้นหนึ่ง
ในระยะแรกจะเกิดเป็นสันหิน (*crag*) และเมื่อมีการสะสมต่อเนื่อง จะก่อตัวเป็นหลังคาถ้ำอยู่ใต้สันหิน หากน้ำยังคงไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง ถ้ำดังกล่าวจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ หินตาฟาที่เก่าแก่จะมีสาหร่ายและมอสที่กลายเป็นฟอสซิลอยู่ภายใน หินชนิดนี้ที่พบได้ทั่วไปในทะเลสาบพลิตวิเซ่เรียกว่า “หินตาฟาที่เกิดจากพืช” (*phytogeneous tufa*)
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
นิทานเพื่อนรัก 3 คนสู่โศกนาฏกรรมปริศนา! สั่งระงับเผาศพ-พบ "ไซยาไนด์" ในร่างผู้เสียชีวิต
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
ตุ๋นลงทุนทิพย์: ไว้ใจ เชื่อใจ หรือเกรงใจ… สุดท้ายใครคือเหยื่อ?
รอบ 3 อาการ 12: หัวใจแห่งการตื่นรู้สำหรับชีวิตประจำวัน (เอไอ รวบรวมและเรียบเรียง)
เลิกกัน แต่ปล่อยคลิปลับ — คนแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกได้ยังไง?
7 อันดับสารพิษตัวร้าย : อยู่ให้ไกล ระวังให้ดี เพราะโลกนี้ไม่ได้อ่อนโยนกับเราเสมอไป


























