ถ้ำเชโกชาน (Škocjan Caves)
ถ้ำชโกชยาน (Škocjan Caves) (ออกเสียง [ˈʃkɔːtsjan]; ภาษาสโลเวเนีย: Škocjanske jame, อิตาลี: Grotte di San Canziano) เป็นระบบถ้ำที่ตั้งอยู่ในประเทศสโลวีเนีย ถ้ำชโกชยานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1986 ถ้ำแห่งนี้เป็นปรากฏการณ์ใต้ดินที่สำคัญทั้งในแถบที่ราบสูงคาร์สต์และในประเทศสโลวีเนีย หลังจากที่สโลวีเนียได้รับเอกราชจากยูโกสลาเวียในปี ค.ศ. 1991 ประเทศได้ให้คำมั่นว่าจะอนุรักษ์พื้นที่ถ้ำชโกชยานอย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นไปตามพันธสัญญานี้ จึงได้จัดตั้งอุทยานภูมิภาคถ้ำชโกชยานขึ้น พร้อมกับหน่วยงานบริหารจัดการ คือ หน่วยบริการสาธารณะอุทยานถ้ำชโกชยาน
คำอธิบาย
ถ้ำชโกชยาน เป็นปรากฏการณ์ใต้ดิน ในภูมิภาคคาร์สต์ของสโลวีเนีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1999 พร้อมกับแม่น้ำเรคาที่ไหลใต้ดิน ถ้ำแห่งนี้ เป็นหนึ่งในพื้นที่ชุ่มน้ำใต้ดิน ในระบบคาร์สต์ที่ยาวที่สุดในยุโรป
ความยาวที่มีการสำรวจแล้วของถ้ำอยู่ที่ 6,200 เมตร (20,300 ฟุต) ถ้ำเหล่านี้ก่อตัวขึ้นในชั้นหินปูนยุคครีเทเชียสและพาลีโอซีนที่มีความหนา 300 เมตร (980 ฟุต)
หลุมยุบใหญ่ (Velika Dolina) และหลุมยุบเล็ก (Mala Dolina) เป็นจุดที่ตั้งของทางเข้าถ้ำ ตั้งอยู่ที่ก้นของหลุมยุบทั้งสองแห่ง ที่หลุมยุบใหญ่ แม่น้ำเรคาจะไหลหายเข้าใต้ดินเข้าสู่ถ้ำชโกชยานและไหลใต้ดินต่อไปเป็นระยะทาง 34 กิโลเมตร (21 ไมล์) ก่อนจะกลับขึ้นมาใกล้เมืองมอนฟัลโคเน โดยที่นั่น แม่น้ำเรคาจะเป็นแหล่งน้ำประมาณหนึ่งในสาม ของปริมาณน้ำของแม่น้ำทิมาโว ซึ่งไหลออกสู่ทะเลเอเดรียติกเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์) จากบ่อน้ำพุทิมาโว
แม่น้ำที่ไหลผ่านหุบเขาใต้ดิน จะเปลี่ยนทิศทางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนถึงสะพานเซร์กเวนิก และไหลต่อไปตามช่องแฮงเค (Hankejev kanal) ซึ่งเป็นช่องทางใต้ดินยาวประมาณ 3.5 กิโลเมตร (2.2 ไมล์) กว้างตั้งแต่ 10 ถึง 60 เมตร (33 ถึง 197 ฟุต) และสูงกว่า 140 เมตร (460 ฟุต) ช่องทางนี้ขยายออกเป็นห้องใต้ดินขนาดใหญ่ในบางช่วง โดยห้องที่ใหญ่ที่สุดคือ ห้องมาร์แตล (Martel’s Chamber) ซึ่งมีปริมาตร 2.2 ล้านลูกบาศก์เมตร (78 ล้านลูกบาศก์ฟุต) ถือเป็นห้องใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นหนึ่งในห้องที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลายสุดของหุบเขาใต้ดิน เป็นซิฟฟอนขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำมหาศาลในช่วงฝนตกหนักได้ ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ระดับน้ำสามารถสูงขึ้นได้มากกว่าหนึ่งร้อยเมตร (330 ฟุต)
ประวัติศาสตร์
หลักฐานการกล่าวถึงถ้ำชโกชยานในแหล่งเอกสาร ปรากฏตั้งแต่ยุคโบราณ (ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช) โดยนักภูมิศาสตร์โพไซโดนิอุสแห่งอพาเมีย และปรากฏอยู่ในแผนที่เก่าแก่ที่สุดของภูมิภาค เช่น แผนที่ลาซิอุส-ออร์เทลิอุส ปี ค.ศ. 1561 และแผนที่โนวุสแอตลาสของเมอร์คาเตอร์ ปี ค.ศ. 1637 ในปี ค.ศ. 1782 จิตรกรชาวฝรั่งเศสชื่อ หลุยส์-ฟรองซัวส์ คาสซาส ได้รับมอบหมายให้วาดภาพทิวทัศน์ของภูมิภาคนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของถ้ำ ในฐานะปรากฏการณ์ธรรมชาติที่โดดเด่น ในพื้นที่ใกล้เมืองตรีเอสเต้ ในศตวรรษที่ 18 ภาพวาดของเขาแสดงถึงการเข้าเยี่ยมชมก้นหลุมยุบใหญ่ ในปี ค.ศ. 1689 นักปราชญ์ชาวคาร์นิโอลา โยฮันน์ ไวการ์ด ฟอน วัลวาซอร์ ได้บรรยายถึงจุดที่แม่น้ำเรคาหายไปใต้ดิน และเส้นทางไหลใต้ดินของแม่น้ำนี้
มีความพยายามในการติดตามเส้นทางใต้ดิน ของแม่น้ำเรคา เพื่อจัดหาน้ำดื่มให้กับเมืองตรีเอสเต้ มีการสำรวจหลุมลึกในภูมิภาคคาร์สต์ รวมถึงถ้ำชโกชยานอย่างจริงจัง การสำรวจอย่างเป็นระบบเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1884 โดยนักสำรวจสามารถไปถึงริมทะเลสาบแห่งความตาย (Mrtvo jezero) ในปี ค.ศ. 1890 การค้นพบถ้ำเงียบ (Tiha jama) ในปี ค.ศ. 1904 ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ เมื่อชายท้องถิ่นปีนกำแพงสูงหกสิบเมตรของห้องมึลเลอร์ (Müllerjeva dvorana) เกือบหนึ่งร้อยปีหลังจากการค้นพบทะเลสาบแห่งความตาย ในปี ค.ศ. 1990 นักดำน้ำชาวสโลวีเนียสามารถว่ายน้ำผ่านซิฟฟอนเลเดนี ดิคนิก (Ledeni dihnik) และค้นพบโพรงถ้ำใหม่ยาวกว่า 200 เมตร (660 ฟุต)
โบราณคดี
หุบเขาที่แม่น้ำเรคา หายไปใต้ดิน และบริเวณทางเข้าถ้ำ เป็นที่สนใจของมนุษย์มาหลายชั่วอายุคน หมู่บ้านชโกชยานตั้งอยู่เหนือหน้าผาที่แม่น้ำหายไปใต้ดิน และเป็นที่มาของชื่อถ้ำ อุทยานภูมิภาคถ้ำชโกชยานมีคุณค่าทางโบราณคดีอย่างยิ่ง โดยมีหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ย้อนหลังไปมากกว่าสิบพันปี การค้นพบที่น่าทึ่งในถ้ำฟลาย (Mušja jama) แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอารยธรรมกรีก หลังจากยุคสำริดเข้าสู่ยุคเหล็ก มีการตั้งวัดในถ้ำบริเวณนี้ เมื่อสามพันปีก่อน พื้นที่แห่งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในฐานะสถานที่แสวงบุญ โดยเฉพาะในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีบทบาทในการบูชาบรรพบุรุษ และการสื่อสารกับโลกหลังความตาย
การท่องเที่ยว
การระบุช่วงเวลาเริ่มต้น ของการท่องเที่ยวในถ้ำชโกชยาน เป็นเรื่องที่ยาก ตามข้อมูลของนักสำรวจถ้ำ เทรเวอร์ ชอว์ ในปี ค.ศ. 1819 มาเตย์ โทมินช์ สมาชิกสภาเทศมณฑล (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำโทมินช์) ได้สั่งให้สร้างบันไดลงไปยังก้นหลุมยุบใหญ่ ซึ่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1823 แหล่งข้อมูลอื่นบางแห่งเสนอว่าบันไดดังกล่าวเป็นเพียงการบูรณะเท่านั้น หนังสือลงทะเบียนผู้เยี่ยมชมถูกจัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1819 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวสมัยใหม่ในถ้ำชโกชยาน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้ำชโกชยานมีนักท่องเที่ยวประมาณ 100,000 คนต่อปี ส่วนแรกของถ้ำซึ่งประกอบด้วยถ้ำมารีนิชและถ้ำมาฮอร์ชิช พร้อมกับหลุมยุบเล็ก ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 อย่างไรก็ตาม ถ้ำได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี ค.ศ. 1963 ในปี ค.ศ. 2011 พื้นที่ดังกล่าวได้รับการบูรณะใหม่ พร้อมกับมีการติดตั้งสะพานเหล็กแห่งใหม่ ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจหุบเขาใต้ดินผ่านเส้นทางหลุมยุบใหญ่ โดยมีไกด์นำชมถ้ำในภาษาสโลวีเนีย อังกฤษ อิตาลี และเยอรมัน







