พันธนาการแห่งความเกลียด
พันธนาการแห่งความเกลียด
โดย อักษราลัย
เสียงสายฝนหล่นกระทบหลังคาสังกะสียามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ดังกังวานไปถึงหัวใจที่สั่นไหวของนภาทร เธอยืนนิ่งอยู่หน้ากระจก มองภาพสะท้อนของตัวเองที่เปลี่ยนไปในรอบสามปี รอยแผลเป็นที่แก้มขวายังคงย้ำเตือนความทรงจำในวันนั้น วันที่ชีวิตของเธอแตกสลายด้วยน้ำมือคนที่เธอรักที่สุด
ข่าวที่ได้รับในวันนี้ว่าสามีเก่าของเธอ กำลังจะได้รับการปล่อยตัวในอีกหนึ่งสัปดาห์ หลังจากรับโทษจำคุกสามปีในโทษทำร้ายร่างกาย
"พี่จะทำยังไงต่อ?" นิดา น้องสาวของเธอถามจากโซฟาเก่า ๆ มุมห้อง
นภาทรถอนหายใจ "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"พี่เขาเขียนจดหมายขอโทษมาตลอดสามปีที่ติดคุก แต่พี่ก็ไม่เคยตอบกลับเลยสักฉบับ" นิดาถอนหายใจ "หมอบอกว่าเขามีอาการป่วยทางจิต ตอนนี้ก็รักษาตัวมาตลอด"
"แล้วพี่ควรจะยกโทษให้เขาอย่างงั้นเหรอ?" นภาทรหันขวับไปถาม น้ำเสียงสั่นเครือ "หลังจากที่เขาเกือบฆ่าพี่ หลังจากที่เขาทำให้พี่แท้งลูก หลังจากที่พี่ต้องย้ายหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วเพราะกลัวเขาจะตามมาทำร้ายอีก"
นิดาลุกขึ้นเดินมากอดพี่สาว เอามือตบบ่าเบา ๆ "พี่ไม่ต้องยกโทษให้เขาก็ได้ แต่...พี่อาจต้องปล่อยวาง นั่นเพื่อตัวพี่เอง"
คืนนั้น นภาทรนอนไม่หลับ เธอหยิบสมุดบันทึกเก่า ๆ ขึ้นมาเปิดอ่าน บันทึกที่เธอเขียนในวันที่กำลังจะหย่า
*'การให้อภัย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องกลับไปดีกับเขา'*
*'ให้อภัย แต่ไม่สุงสิงด้วย'*
*'ยกโทษให้ แต่ไม่กลับไปคบ'*
เธอเขียนประโยคเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพยายามสะกดจิตตัวเอง แต่เธอทำไม่ได้ ความเกลียดชังและความกลัวมันฝังรากลึกเกินกว่าจะถอนออกมาได้ง่าย ๆ
😡
วันรุ่งขึ้น นภาทรตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ ดร.วิชญ์ ที่เคยช่วยเธอในช่วงหลังเกิดเหตุการณ์
"คุณกลัวที่จะเจอเขาอีกใช่ไหม?" ดร.วิชญ์ถาม
นภาทรพยักหน้า "ค่ะ...ฉันกลัว...แต่มันไม่ใช่แค่ความกลัว ฉันเกลียด โกรธ และแค้นเขา มันเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน"
"ความรู้สึกพวกนั้นกำลังทำร้ายใครมากกว่ากัน? เขา หรือคุณ?"
คำถามนั้นแทงใจทำให้นภาทรชะงักปากที่กำลังจะตอบกลับด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น
"คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า 'ให้อภัยเขา เราสุข โกรธเขา เกลียดเขา เราก็ทุกข์เอง' แต่มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นใช่ไหม?" ดร.วิชญ์ถามต่อ
"คนพูดประโยคแบบนั้นคงไม่เคยโดนทำร้ายจนเกือบตาย" นภาทรตอบเสียงเครือ
"ผมไม่ได้บอกว่าคุณต้องให้อภัยเขานะ ผมเพียงแค่อยากให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างการให้อภัยกับการปล่อยวาง การให้อภัยคือการยกโทษให้คนทำผิด แต่การปล่อยวางคือการปลดปล่อยตัวเราเองจากพันธนาการของความเกลียดชัง"
😡
สัปดาห์ต่อมา นภาทรยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเรือนจำ มือสองข้างสั่นระริก เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากแม้อากาศจะไม่ได้ร้อน หัวใจของเธอเต้นรัวจนแทบทะลุออกมา หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ เธอสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจก้าวเข้าไป
ประตูเหล็กปิดลงดังโครมทำให้เธอสะดุ้ง ความทรงจำวันนั้นฉายซ้ำในหัวของเธอ เสียงจานแตก เสียงเธอร้องขอชีวิต เสียงคำสาปแช่งและคำขู่ ความเงียบหลังจากสติของเธอดับวูบลง
ยามเรือนจำพาเธอเข้าสู่ห้องเยี่ยมที่มีแต่โต๊ะเหล็กและเก้าอี้สีเทา เธอนั่งลงด้วยขาอ่อนแรง มือกำสร้อยพระที่คอแน่น
"คุณมีเวลาสิบนาที" ยามบอกก่อนจะเดินออกไป
การรอคอยเหมือนนิรันดร์ แต่ละวินาทีผ่านไปเหมือนชั่วโมง หัวสมองของเธอวนเวียนกับคำถามไม่จบสิ้น ทำไมเธอถึงมาที่นี่? เธอพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาจริง ๆ หรือ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความโกรธของเขากำเริบขึ้นมาอีก?
เสียงบานประตูเหล็กเปิดออกดังเอี๊ยด นภาทรรู้สึกเหมือนเลือดในกายหยุดไหล เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ชายร่างผอมโซที่ดูโทรมและแก่ไปกว่าอายุจริงเกือบสิบปีเดินเข้ามาช้า ๆ ท่าทีระมัดระวัง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและอาการประสาทหลอนถูกแทนที่ด้วยความเศร้าและความละอายใจอย่างลึกซึ้ง ผมที่เคยดกดำกลายเป็นสีเทาเกือบทั้งศีรษะ ริ้วรอยลึกบนใบหน้าเล่าเรื่องราวของความทุกข์ทรมานที่เขาต้องเผชิญ นภาทรสังเกตเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือของเขา บาดแผลจากการพยายามฆ่าตัวตาย
ความรู้สึกประหลาดกระทบใจนภาทร ไม่ใช่ความสงสาร แต่เป็นความประหลาดใจที่ชายตรงหน้าไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เขาดูเหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มคนที่เธอเคยรู้จัก ความกลัวในใจยังคงอยู่ แต่ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกที่อยู่ตรงกลางระหว่างความโล่งใจและความเจ็บปวด
"ขอบคุณที่มา" นครเอ่ยเสียงแผ่ว เสียงของเขาแหบแห้งราวกับไม่ได้ใช้มานาน แววตาของเขามองเธออย่างระมัดระวัง ไม่กล้าสบตาตรง ๆ
นภาทรไม่ตอบ ลำคอของเธอแห้งผาก คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้นแต่ไม่อาจเปล่งออกมา เธอสบตาเขาเป็นครั้งแรกในรอบสามปี ในดวงตานั้น เธอเห็นคนละคนกับสามีเก่าที่เคยทำร้ายเธอ
หลังจากความเงียบอันยาวนาน นภาทรรวบรวมความกล้า เธอค่อย ๆ พูดด้วยเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น
"ฉันมาบอกว่าฉันจะไม่ขอความคุ้มครองจากศาลอีกต่อไป" เธอพูดพลางสังเกตปฏิกิริยาของเขาอย่างระมัดระวัง "เธอจะได้รับอิสรภาพเต็มที่เมื่อออกไปจากที่นี่"
เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดต่อ น้ำเสียงแข็งขึ้น "แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันให้อภัยในสิ่งที่เธอทำ"
ดวงตาของนครเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับแม้กระทั่งโอกาสนี้ ความรู้สึกผิดที่เขาแบกรับมาสามปีเต็มปรากฏชัดบนใบหน้า เขาพยักหน้าช้า ๆ น้ำตาเอ่อล้นขอบตา
"ฉัน...ฉันไม่คาดหวังให้เธออภัย" เสียงเขาสั่นเครือ "ฉันแค่อยากบอกว่า...ฉันเสียใจจริง ๆ ฉันเกลียดตัวเองทุกวันสำหรับสิ่งที่ฉันทำกับเธอ"
เขาพยายามกลั้นสะอื้น แต่ไม่สำเร็จ "ฉันเข้ารับการรักษาแล้ว กินยาสม่ำเสมอ ฉันเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง คำขอโทษของฉันคงไม่มีความหมายสำหรับเธอ แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่า...ฉันจะไม่มีวันทำร้ายใครอีก"
นภาทรนั่งนิ่ง เธอไม่คาดคิดว่าตัวเองจะรู้สึกอะไรในขณะนี้ เธอคิดว่าจะมีแต่ความเกลียดชัง แต่เมื่อเห็นนครร้องไห้ต่อหน้า เธอกลับรู้สึกว่าพลังบางอย่างที่เคยครอบงำชีวิตเธอมาสามปีกำลังคลายออก ไม่ใช่เพราะเธอให้อภัยเขา แต่เพราะเธอเห็นว่าเขาไม่มีอำนาจเหนือเธออีกต่อไป
"ดี" นภาทรตอบสั้น ๆ มือของเธอที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บ
นครมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเธอ ความละอายปรากฏชัดในดวงตา "เธอดูดีขึ้น...แผลเป็น..."
คำพูดนั้นกระตุกความทรงจำอันเจ็บปวด นภาทรสัมผัสแผลเป็นบนใบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว ความโกรธพลุ่งขึ้นมาชั่วขณะ
"มันจะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต" นภาทรพูดตัดบท เสียงเย็นชา "เหมือนกับความทรงจำเกี่ยวกับเธอ"
คำพูดนั้นทิ่มแทงนครอย่างจัง เขาก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาหยดลงบนโต๊ะ ความเงียบอันหนักอึ้งเข้าปกคลุมห้องเยี่ยม มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ และเสียงนาฬิกาที่เดินช้าราวกับเวลาหยุดนิ่ง
นภาทรรู้สึกถึงน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แต่เธอกลั้นมันไว้ เธอไม่ยอมให้เขาเห็นความอ่อนแอของเธออีก ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ที่นี่
หลังความเงียบอันยาวนาน นภาทรเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก เธอรู้สึกหายใจลำบาก ห้องนี้แคบขึ้นเรื่อย ๆ ผนังทุกด้านเหมือนกำลังบีบเข้าหาตัวเธอ อากาศตอนนี้หนักและข้นเกินไป ความทรงจำยังตอกย้ำความเจ็บปวด
"ฉันจะย้ายไปเชียงใหม่พรุ่งนี้" นภาทรบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มั่นคง "นิดาบอกว่าเธอจะกลับไปอยู่บ้านแฟนที่ภาคใต้"
เธอพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือ สายตายังจับจ้องไปที่ประตูทางออก ราวกับกลัวว่ามันจะปิดล็อคไม่ให้เธอออกไป
"เราต่างจะเริ่มชีวิตใหม่" เธอกลืนน้ำลายที่แห้งผาก ก่อนจะสบตาเขาตรง ๆ ครั้งนี้ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว "ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่า ถ้าเธอตามหาฉันอีก ฉันจะไม่ลังเลที่จะแจ้งตำรวจทันที"
นครมองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจอย่างแท้จริง น้ำตาไหลอาบแก้มที่ซูบตอบของเขา มือของเขาสั่นระริกบนโต๊ะ
"ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนชีวิตเธออีก" เขาพูดเสียงแผ่ว "ฉันสาบาน"
นภาทรลุกขึ้นยืนช้า ๆ ขาของเธอยังสั่น แต่ไม่ใช่จากความกลัวอีกต่อไป เธอรู้สึกว่าบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นในตัวเธอ ความรู้สึกเหมือนเชือกที่รัดแน่นรอบหัวใจเริ่มคลายออก เธอรู้สึกถึงน้ำหนักมหาศาลที่เริ่มถูกยกออกจากบ่า
เธอจ้องมองชายที่เคยเป็นสามี คนที่เธอเคยรักมากที่สุด คนที่ทำให้เธอเจ็บปวดที่สุด และเห็นบางสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด เขาเองก็เจ็บปวดเช่นกัน ไม่ใช่แค่จากโรคที่เขาเป็น แต่จากความสำนึกผิดที่จะตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต
"ฉันไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมาถึง" เธอพูดเสียงเบา น้ำตาเริ่มไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ "วันที่ฉันจะมองเธอและไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป"
เธอสูดลมหายใจลึก กำมือแน่น น้ำตายังคงไหลลงมาไม่หยุด แต่ครั้งนี้มันเป็นน้ำตาแห่งการปลดปล่อย
"การที่ฉันไม่เกลียดเธอแล้ว ไม่ได้หมายความว่าฉันให้อภัยเธอ" เธอพูดเสียงสั่น แต่เด็ดเดี่ยว "แต่การที่ฉันกำลังก้าวต่อไปกับชีวิตของตัวเอง นั่นหมายความว่าเธอไม่มีอำนาจเหนือฉันอีกต่อไป"
เธอสังเกตเห็นบางสิ่งในดวงตาของนคร ความโล่งใจ ความเข้าใจ และความหวังริบหรี่ที่เขาอาจจะได้รับการอภัยในสักวันหนึ่ง ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่อาจจะสักวันหนึ่ง
"ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเธอ" เธอพูดเป็นครั้งสุดท้าย น้ำเสียงสงบลง "ฉันมาเพื่อตัวฉันเอง เพื่อที่จะไม่ต้องมีชีวิตอยู่ในความกลัวอีกต่อไป"
😡
สามเดือนต่อมา ในห้องพักเล็ก ๆ ที่เชียงใหม่ นภาทรนั่งเขียนบันทึกประจำวัน
*วันนี้ฉันไม่ได้คิดถึงเขาเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสี่ปี ฉันไม่ได้ตื่นมาพร้อมกับฝันร้าย ไม่มีเสียงของเขาดังก้องในหัว ไม่มีความกลัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง*
*ฉันไม่รู้ว่านี่คือการให้อภัยหรือไม่ แต่ฉันรู้ว่านี่คือการปล่อยวาง*
*ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงพูดว่า "ให้อภัย แต่ไม่สุงสิงด้วย" มันไม่ใช่เรื่องของการกลับไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ทำร้ายเรา แต่เป็นเรื่องของการปลดปล่อยตัวเองจากความเกลียดชัง*
*ทุกข์ตกอยู่ที่คนเกลียด*
*กรรมตกอยู่ที่คนเคียดแค้น*
*วันนี้ฉันไม่เกลียดใคร ฉันไม่เคียดแค้นใคร ฉันแค่...เป็นอิสระ*
นภาทรวางปากกาลง เธอเงยหน้าขึ้นมองภูเขาที่เห็นได้จากหน้าต่างห้อง ฝนเริ่มตกเป็นสายบนยอดดอยสุเทพ เธอเดินไปที่กระจก มองใบหน้าของตัวเอง นิ้วมือลูบแผลเป็นที่แก้มเบา ๆ
เป็นครั้งแรกที่เธอมองแผลเป็นนั้นโดยไม่รู้สึกว่ามันคือสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่มันคือเครื่องหมายของการเอาชีวิตรอด มันคือสัญลักษณ์ของพลังที่เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี
ก
ารให้อภัยไม่ใช่การลืมเลือน แต่เป็นการเลือกที่จะไม่ให้ความเจ็บปวดจากอดีตมากำหนดอนาคต และบางทีนั่นอาจเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ ...😡












