10 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในไทย
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ประเทศไทยได้รับแรงสั่นสะเทือนจาก แผ่นดินไหวขนาด 7.4 แมกนิจูด ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ในหลายจังหวัด รวมถึงกรุงเทพฯ และภาคเหนือ ทำให้ประชาชนหลายพื้นที่เกิดความตื่นตระหนก
แผ่นดินไหวถือเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยเหมือนญี่ปุ่นหรืออินโดนีเซีย แต่ก็ยังมีรอยเลื่อนที่อาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ วันนี้เราจะมาสรุป 10 เรื่องสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในไทย เพื่อให้ทุกคนตระหนักและเตรียมตัวรับมือได้อย่างถูกต้อง
1. ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ไหน และไทยได้รับผลกระทบอย่างไร?
แผ่นดินไหวครั้งนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ ประเทศเมียนมา ห่างจากอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 326 กิโลเมตร ความลึกอยู่ที่ 10 กิโลเมตร ถือเป็นแผ่นดินไหวระดับตื้นที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ใน ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอาคารสูงที่มีโครงสร้างรองรับแรงสั่นสะเทือนน้อย
2. แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ที่จังหวัดไหนบ้าง?
รายงานเบื้องต้นพบว่า ประชาชนใน 10 จังหวัดของไทยสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ ได้แก่
กรุงเทพมหานคร – อาคารสูงสั่นไหวชัดเจน
เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง – บ้านเรือนบางหลังได้รับความเสียหายเล็กน้อย
ขอนแก่น นครราชสีมา พิษณุโลก – ประชาชนบางส่วนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน
เพชรบูรณ์ และแม่ฮ่องสอน – อยู่ใกล้ศูนย์กลางมากที่สุด
3. อาคารถล่มในกรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิต
หนึ่งในผลกระทบที่รุนแรงที่สุดคือ อาคารก่อสร้างในย่านจตุจักรถล่มลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และมีคนติดอยู่ใต้ซากอาคาร มากกว่า 80 คน ขณะนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งค้นหาและช่วยเหลือ
4. ทำไมบางพื้นที่สั่นไหวแรงกว่าที่อื่น?
แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
ความใกล้ของพื้นที่กับศูนย์กลางแผ่นดินไหวลักษณะของดินและชั้นหินใต้พื้นดิน – ดินอ่อน เช่น กรุงเทพฯ จะขยายแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่า
ความสูงของอาคาร – ตึกสูงมักสั่นไหวมากกว่าบ้านชั้นเดียว
5. อาฟเตอร์ช็อกคืออะไร และต้องระวังหรือไม่?
หลังจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ มักมี อาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) หรือแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง หรือเป็นสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยเลื่อน ครั้งนี้มีรายงาน อาฟเตอร์ช็อกขนาด 5.2 แมกนิจูด ในเมียนมา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในไทยอีก
6. ประเทศไทยเคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาดนี้มาก่อนหรือไม่?
แม้ว่าไทยจะไม่ใช่จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แต่ก็เคยมีแผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้น เช่น
ปี 2557 แผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ที่เชียงราย ทำให้เกิดความเสียหายหลายพื้นที่
ปี 2526 แผ่นดินไหวขนาด 5.9 แมกนิจูด ในลำปาง ส่งผลกระทบต่ออาคารเก่า
7. รอยเลื่อนในไทยที่อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่ยังมีพลังและอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่น
รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน
รอยเลื่อนพะเยา
รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ (กาญจนบุรี)
รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์
หากเกิดแผ่นดินไหวในรอยเลื่อนเหล่านี้ แรงสั่นสะเทือนอาจส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ และภาคอื่นๆ
8. ควรทำอย่างไรหากเกิดแผ่นดินไหว?
หากรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ควรปฏิบัติตามนี้
ถ้าอยู่ในอาคาร – หาที่กำบังใต้โต๊ะที่แข็งแรง หรือยืนชิดกำแพงที่ไม่มีของตกหล่น
ถ้าอยู่กลางแจ้ง – หลีกเลี่ยงเสาไฟฟ้า ตึกสูง และสิ่งของที่อาจร่วงลงมา
ห้ามใช้ลิฟต์ ขณะเกิดแผ่นดินไหว
---
9. อาคารในไทยปลอดภัยต่อแผ่นดินไหวหรือไม่?
อาคารใหม่ๆ ที่สร้างตามมาตรฐานวิศวกรรมมักรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แต่ อาคารเก่าที่สร้างก่อนปี 2540 อาจไม่ได้ออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีพอ
10. แผ่นดินไหวจะเกิดอีกครั้งหรือไม่?
แม้ว่าแผ่นดินไหวจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า แต่จากสถิติและข้อมูลทางธรณีวิทยา มีโอกาสที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอีก โดยเฉพาะจากรอยเลื่อนที่ยังมีพลังในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันตก
แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมตัวรับมือกับภัยธรรมชาติ แม้ว่าไทยจะไม่ได้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยเหมือนประเทศอื่นๆ แต่ก็มีรอยเลื่อนที่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ได้อีก ดังนั้น ทุกคนควรมีแผนรับมือ เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน และเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเอง
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมากขึ้น และสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างปลอดภัย

















