กัมพูชาเคลมอะไรประเทศไทยไปบ้าง
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ดิฉันขอมาเม้าท์เรื่องที่หลายคนอาจเคยได้ยินหรือเห็นดราม่ากันอยู่เป็นระยะ นั่นก็คือเรื่อง "อะไรบ้างที่กัมพูชาเคลมว่าเป็นของเขา" บอกเลยว่าเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วัฒนธรรม เพลง หรือแม้แต่มวยไทย
ดิฉันขอย้ำก่อนเลยว่า กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความขัดแย้งนะคะ แต่เราจะมามองกันในมุมที่เข้าใจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกัน ว่าอะไรบ้างที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นของเขา และคนไทยเองก็มองว่าเป็นของไทยแท้ ๆ
1. มวยไทย หรือ มวยกุนขแมร์
เรื่องนี้เถียงกันยาวค่ะ! ทางกัมพูชาเคลมว่า "กุนขแมร์" (Kun Khmer) เป็นต้นกำเนิดของมวยไทย โดยอ้างอิงจากภาพแกะสลักนักรบในนครวัดที่แสดงท่วงท่าการต่อสู้ แต่ทางฝั่งไทยเองก็มีหลักฐานว่า "มวยไทย" มีการพัฒนาและมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองตั้งแต่สมัยอยุธยา
ดิฉันมองว่าแทนที่จะเถียงกัน อาจต้องยอมรับว่าทั้งสองประเทศมีศิลปะการต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันจากประวัติศาสตร์ร่วม แต่ "มวยไทย" ในแบบที่คนทั่วโลกรู้จักทุกวันนี้ นั่นคือของไทยแน่นอนค่ะ
2. โขน
หลายปีที่ผ่านมา กัมพูชาเคยยื่นเรื่องให้ "โขน" (Lakhon Khol) เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเขา ซึ่งทำให้คนไทยหลายคนไม่พอใจ เพราะ "โขน" ของไทยมีความชัดเจนทั้งเรื่องรูปแบบ ศิลปะการแสดง และเครื่องแต่งกาย
อย่างไรก็ตาม โขนเองก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีพื้นฐานจากเรื่องรามเกียรติ์ (รามายณะ) แต่ต้องยอมรับว่า "โขนไทย" มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและพัฒนาเป็นศิลปะระดับสูงในแบบของไทยเอง
3. อาหารไทย เช่น ต้มยำกุ้ง ส้มตำ ข้าวเหนียวมะม่วง
นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่เจอบ่อยค่ะ! บางครั้งกัมพูชาเคลมว่า ส้มตำ (Bok L’hong) เป็นของเขา ซึ่งก็จริงค่ะ เพราะอาหารประเภทตำ ๆ นั้นมีอยู่หลายที่ในภูมิภาคอาเซียน แต่ "ส้มตำไทย" ที่มีรสชาติจัดจ้าน ปรับเปลี่ยนได้หลากหลายแบบ มีทั้งตำไทย ตำปูปลาร้า ฯลฯ นั้น เป็นเอกลักษณ์ที่พัฒนาโดยคนไทยอย่างแน่นอน
ส่วน ข้าวเหนียวมะม่วง นี่ก็เป็นอีกเมนูที่มีดราม่าเป็นช่วง ๆ แต่ในทางประวัติศาสตร์ "ข้าวเหนียวมะม่วง" ที่ได้รับการโปรโมตไปทั่วโลกจนดังเปรี้ยงปร้าง โดยเฉพาะหลังจาก "มิลลิ" ศิลปินไทย กินโชว์บนเวทีระดับโลก ดิฉันมองว่าแม้บางประเทศอาจมีเมนูคล้ายกัน แต่ "ข้าวเหนียวมะม่วงไทย" นั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนค่ะ
4. ผ้าไหมไทย กับ ผ้าไหมกัมพูชา
ต้องบอกว่าทั้งไทยและกัมพูชามีการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ที่ผ่านมามีดราม่าเรื่อง "ผ้าไหมแพรวา" ซึ่งคนไทยมองว่าเป็นงานหัตถกรรมของชาวอีสาน แต่บางครั้งกลับถูกเคลมว่าเป็นของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองจากความละเอียดและลวดลาย ผ้าไหมไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลมากกว่า เพราะเรามีการพัฒนารูปแบบและการทอให้ประณีตยิ่งขึ้น
5. เพลงบางเพลง เช่น "ใจนักเลง" และ "เรารักกัน"
อันนี้เป็นเรื่องของลิขสิทธิ์เพลงค่ะ คนไทยหลายคนอาจเคยได้ยินข่าวว่าเพลงไทยบางเพลงไปโผล่ในเวอร์ชันกัมพูชาโดยไม่มีการขออนุญาต เช่น เพลง "ใจนักเลง" ของพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ หรือเพลงอื่น ๆ ที่ถูกนำไปแปลและร้องใหม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มักเกิดจากการที่วงการเพลงกัมพูชาในอดีตได้รับอิทธิพลจากเพลงไทยเยอะมาก และในยุคที่ลิขสิทธิ์ยังไม่เข้มงวด ก็มีการนำเพลงไทยไปใช้กันแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีการปรับปรุงเรื่องลิขสิทธิ์มากขึ้นแล้ว
สรุป : จะเถียงกันไปทำไม? มองในแง่ดี เราแชร์วัฒนธรรมกันมา
ดิฉันมองว่าแทนที่จะทะเลาะกัน เราควรเข้าใจว่า "วัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเชื่อมโยงกัน" เนื่องจากเราเคยเป็นอาณาจักรที่มีปฏิสัมพันธ์กันมายาวนาน บางอย่างอาจคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ "การพัฒนาให้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง"
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่เรานำเสนอวัฒนธรรมออกไปในระดับสากลได้ดี เช่น อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มวยไทยที่เป็นที่รู้จักในเวทีนานาชาติ หรือศิลปะการแสดงที่เราส่งเสริมให้โดดเด่นกว่าใคร
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การทะเลาะว่า "ใครเป็นเจ้าของ" แต่เป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมของเราให้มีคุณค่า และพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกมากขึ้น
แล้วทุกคนคิดยังไงกับประเด็นนี้บ้าง มีอะไรที่กัมพูชาเคลมแล้วคุณรู้สึกว่าเป็นของไทยแท้ ๆ ไหม มาคุยกันค่ะ










