ปลาไทยที่มีไขมันดีไม่แพ้ปลาแซลมอน โปรตีนสูง สร้างกล้ามเนื้อและบำรุงสมอง
เมื่อพูดถึงอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หลายคนมักนึกถึงปลาเป็นอันดับต้นๆ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง แต่ยังเป็นแหล่งของไขมันที่มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีบทบาทสำคัญในการบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงชนิดของปลาไทยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยไขมันดี และโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและบำรุงสมอง พร้อมทั้งอธิบายความแตกต่างระหว่างไขมันดีและไขมันเลว รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคไขมันเลวมากเกินไป
ไขมันดี HDL คืออะไร?
ไขมันดี หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า "ไขมันไม่อิ่มตัว" (Unsaturated Fats) เป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันดีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
1. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats)
ไขมันชนิดนี้พบได้ในน้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วต่างๆ และปลาบางชนิด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือด และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American College of Cardiology ในปี 2018 พบว่า การบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในปริมาณที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 19%
2. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats)
ไขมันชนิดนี้พบได้ในน้ำมันปลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด และเมล็ดพืชต่างๆ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่สำคัญ ได้แก่:
- กรดไขมันโอเมก้า-3: พบมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน และปลาแมคเคอเรล มีประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง การพัฒนาสายตา และลดการอักเสบในร่างกาย
- กรดไขมันโอเมก้า-6: พบในน้ำมันพืช เมล็ดพืช และถั่วต่างๆ ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 15% และลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ถึง 14%
ไขมันเลว LDL คืออะไร?
ไขมันเลว หรือไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats) และไขมันทรานส์ (Trans Fats) เป็นไขมันที่เมื่อบริโภคในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
1. ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats)
พบมากในเนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส ครีม และน้ำมันมะพร้าว การบริโภคไขมันอิ่มตัวในปริมาณมากจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้จำกัดการบริโภคไขมันอิ่มตัวให้น้อยกว่า 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
2. ไขมันทรานส์ (Trans Fats)
เป็นไขมันที่เกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนในน้ำมันพืชเพื่อให้เก็บได้นานขึ้น มีลักษณะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง พบมากในอาหารแปรรูป เช่น เนยเทียม มาการีน ขนมอบ อาหารทอด และขนมขบเคี้ยว
ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่อันตรายที่สุด เพราะนอกจากจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) แล้ว ยังลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) อีกด้วย
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine พบว่า การเพิ่มการบริโภคไขมันทรานส์เพียง 2% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 23%
ประโยชน์ของการบริโภคปลาที่มีไขมันดี
การบริโภคปลาที่มีไขมันดีมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ดังนี้:
- บำรุงสมอง: กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์สมอง ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ความจำ และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม การศึกษาจาก Rush University Medical Center พบว่า ผู้ที่บริโภคปลามากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์มีอัตราการเสื่อมของเซลล์สมองช้ากว่าผู้ที่ไม่บริโภคปลาถึง 10%
- ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด: กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และลดการอักเสบของหลอดเลือด การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 40 การศึกษาพบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์สามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ถึง 36%
- สร้างกล้ามเนื้อ: โปรตีนในปลาเป็นโปรตีนคุณภาพสูงที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า-3 ยังช่วยลดการอักเสบหลังการออกกำลังกาย ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น การศึกษาในวารสาร Journal of the International Society of Sports Nutrition พบว่า นักกีฬาที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 วันละ 2 กรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีอาการปวดกล้ามเนื้อลดลงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังการออกกำลังกายหนัก
- ลดอาการซึมเศร้า: การวิจัยพบว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยในการลดอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 13 การศึกษาพบว่า การเสริมกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถลดอาการซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการซึมเศร้ารุนแรง
- ป้องกันโรคตา: DHA เป็นส่วนประกอบสำคัญของจอประสาทตา การบริโภคปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ การศึกษา AREDS (Age-Related Eye Disease Study) พบว่า ผู้ที่บริโภคปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์มีความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงถึง 45%
ปลาในประเทศไทยที่มีไขมันดี 10 ชนิด
ประเทศไทยมีปลาหลากหลายชนิดที่อุดมไปด้วยไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป
1. ปลานิล
ปลานิลเป็นปลาน้ำจืดที่เลี้ยงง่าย หาซื้อได้ทั่วไป และมีราคาไม่แพง ปลานิลมีโปรตีนสูงประมาณ 20-25 กรัมต่อ 100 กรัม และมีไขมันไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 20.08 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 1.70 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.11 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.25 กรัม
- แคลอรี่: 96 กิโลแคลอรี่
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พบว่า ปลานิลที่เลี้ยงในระบบน้ำไหลเวียนมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าปลานิลที่เลี้ยงในบ่อดินถึง 35%
2. ปลาทู
ปลาทูเป็นปลาทะเลที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ EPA และ DHA ที่มีประโยชน์ต่อสมองและหัวใจ นอกจากนี้ ปลาทูยังเป็นแหล่งของวิตามินดีและแคลเซียมที่ดี โดยเฉพาะเมื่อรับประทานทั้งก้าง
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 23.50 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 12.10 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 2.60 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.35 กรัม
- แคลอรี่: 205 กิโลแคลอรี่
การวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปลาทู 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 330 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับนมวัว 1 แก้ว และมีวิตามินดีสูงกว่านมวัวถึง 5 เท่า
3. ปลาช่อน
ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อแน่น รสชาติดี และมีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 18.70 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 1.20 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.09 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.18 กรัม
- แคลอรี่: 90 กิโลแคลอรี่
การศึกษาจากคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ปลาช่อนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน โดยเฉพาะไลซีน (Lysine) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
4. ปลากะพงขาว
ปลากะพงขาวเป็นปลาที่นิยมนำมาประกอบอาหาร มีเนื้อนุ่ม รสชาติดี ปลากะพงขาวมีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ แต่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 19.20 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 1.50 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.14 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.10 กรัม
- แคลอรี่: 92 กิโลแคลอรี่
การวิจัยจากกรมประมงพบว่า ปลากะพงขาวที่เลี้ยงในน้ำกร่อยมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าปลากะพงขาวที่เลี้ยงในน้ำจืดประมาณ 25%
5. ปลาสลิด
ปลาสลิดเป็นปลาน้ำจืดที่นิยมนำมาทำปลาเค็ม แต่ปลาสลิดสดก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลาสลิดมีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 19.50 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 2.80 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.22 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.32 กรัม
- แคลอรี่: 105 กิโลแคลอรี่
การศึกษาจากคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พบว่า ปลาสลิดเป็นแหล่งของวิตามินบี 12 ที่ดี ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท
6. ปลากราย
ปลากรายเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีเนื้อแน่น รสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลากรายมีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 18.10 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 3.20 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.25 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.42 กรัม
- แคลอรี่: 103 กิโลแคลอรี่
การวิจัยจากกรมประมงพบว่า ปลากรายมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วน และมีแร่ธาตุสำคัญ เช่น เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันและการทำงานของเอนไซม์ต่างๆในร่างกาย
7. ปลากด
ปลากดเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อแน่น รสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลากดมีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 17.60 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 2.50 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.18 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.30 กรัม
- แคลอรี่: 95 กิโลแคลอรี่
การศึกษาจากคณะเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ พบว่า ปลากดมีปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟัน
8. ปลาแซลมอนไทย (ปลากระโห้)
ปลากระโห้หรือปลาแซลมอนไทยเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อสีส้มคล้ายปลาแซลมอน มีไขมันดีและโปรตีนสูง เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สำคัญต่อการทำงานของสมองและหัวใจ
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 19.70 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 5.80 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 1.25 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.85 กรัม
- แคลอรี่: 135 กิโลแคลอรี่
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พบว่า ปลากระโห้มีปริมาณแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดการอักเสบและชะลอความเสื่อมของเซลล์
9. ปลาดุก
ปลาดุกเป็นปลาน้ำจืดที่เลี้ยงง่าย หาซื้อได้ทั่วไป และมีราคาไม่แพง ปลาดุกมีโปรตีนสูงและมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แม้จะมีไขมันสูงกว่าปลาชนิดอื่น แต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อสุขภาพ
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 18.20 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 4.80 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.32 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.88 กรัม
- แคลอรี่: 120 กิโลแคลอรี่
การศึกษาจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปลาดุกมีปริมาณวิตามินบี 1 และบี 2 สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของระบบประสาท
10. ปลาเนื้ออ่อน
ปลาเนื้ออ่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อนุ่ม รสชาติดี และมีก้างน้อย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและเด็ก ปลาเนื้ออ่อนมีโปรตีนสูงและมีไขมันต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 19.30 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 1.30 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 0.10 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.15 กรัม
- แคลอรี่: 89 กิโลแคลอรี่
การวิจัยจากกรมประมงพบว่า ปลาเนื้ออ่อนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน และย่อยง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
ไขมันดีจากปลาแซลมอนจากต่างประเทศ
ปลาแซลมอนจากต่างประเทศเป็นที่นิยมในประเทศไทย แม้จะมีราคาสูงกว่าปลาท้องถิ่น แต่ปลาแซลมอนก็เป็นแหล่งของไขมันดี โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ในหัวข้อนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงไขมันดีในปลาแซลมอนจากต่างประเทศและเปรียบเทียบกับปลาไทย
ชนิดของปลาแซลมอนและปริมาณไขมันดี
ปลาแซลมอนที่นิยมบริโภคมีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีปริมาณไขมันดีที่แตกต่างกัน:
- ปลาแซลมอนแอตแลนติก (Atlantic Salmon): เป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในฟาร์มมากที่สุด และเป็นชนิดที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยมากที่สุด ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 20.42 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 13.42 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 2.18 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.62 กรัม
- แคลอรี่: 206 กิโลแคลอรี่
- ปลาแซลมอนโซคอาย (Sockeye Salmon): มีเนื้อสีแดงเข้ม และมีรสชาติเข้มข้น ส่วนใหญ่จับจากธรรมชาติ ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 21.31 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 8.56 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 1.45 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.40 กรัม
- แคลอรี่: 169 กิโลแคลอรี่
- ปลาแซลมอนชินุก (Chinook/King Salmon): เป็นปลาแซลมอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีไขมันสูงที่สุด ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
- โปรตีน: 19.93 กรัม
- ไขมันทั้งหมด: 13.75 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 2.68 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.59 กรัม
- แคลอรี่: 208 กิโลแคลอรี่
เปรียบเทียบกับปลาไทย
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปลาแซลมอนจากต่างประเทศกับปลาไทย พบว่า:
- ปลาแซลมอนจากต่างประเทศ: มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 1.45-2.68 กรัมต่อ 100 กรัม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- ปลาทูไทย: มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 2.60 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งใกล้เคียงกับปลาแซลมอนชินุก
- ปลากระโห้ (ปลาแซลมอนไทย): มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 1.25 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งน้อยกว่าปลาแซลมอนจากต่างประเทศส่วนใหญ่
การศึกษาจาก Harvard School of Public Health พบว่า การได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน อย่างน้อย 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 36%
คุณค่าทางโภชนาการเฉพาะในปลาแซลมอน
นอกจากกรดไขมันโอเมก้า-3 แล้ว ปลาแซลมอนยังมีสารอาหารพิเศษที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ:
- แอสตาแซนธิน (Astaxanthin): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สีส้มแดงแก่เนื้อปลาแซลมอน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 550 เท่า ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันความเสียหายของเซลล์ และส่งเสริมสุขภาพผิว
- วิตามินดี: ปลาแซลมอนเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูงที่สุด โดยปลาแซลมอน 100 กรัม มีวิตามินดีประมาณ 526-988 IU ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการรายวันของร่างกาย
- ซีลีเนียม (Selenium): เป็นแร่ธาตุที่ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ปลาแซลมอน 100 กรัม มีซีลีเนียมประมาณ 30-40 ไมโครกรัม
การวิจัยจาก University of Washington School of Medicine พบว่า การบริโภคปลาแซลมอนอย่างสม่ำเสมอสัมพันธ์กับการลดลงของระดับมาร์กเกอร์การอักเสบในร่างกาย เช่น C-reactive protein (CRP) และ interleukin-6 (IL-6)
ข้อควรระวังเกี่ยวกับปลาแซลมอนจากต่างประเทศ
แม้ว่าปลาแซลมอนจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ:
- การปนเปื้อนสารพิษ: ปลาแซลมอนจากธรรมชาติอาจมีการปนเปื้อนของสารปรอท ไดออกซิน และ PCBs ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ปริมาณสารพิษในปลาแซลมอนจากธรรมชาติยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ความปลอดภัยของ FDA
- สารเคมีในปลาเลี้ยง: ปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มอาจได้รับยาปฏิชีวนะและสารเคมีอื่นๆ เพื่อป้องกันโรคและเร่งการเจริญเติบโต ดังนั้น ควรเลือกซื้อปลาแซลมอนจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
- ราคาสูง: ปลาแซลมอนนำเข้ามีราคาสูงกว่าปลาท้องถิ่นค่อนข้างมาก ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการบริโภคเป็นประจำสำหรับคนทั่วไป
องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง รวมถึงปลาแซลมอน อย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยไม่เสี่ยงต่อการได้รับสารพิษมากเกินไป
ทางเลือกที่คุ้มค่า: ปลาไทยทดแทนปลาแซลมอน
สำหรับคนไทย การเลือกบริโภคปลาท้องถิ่นที่มีราคาถูกกว่าแต่มีไขมันดีสูงเช่นกัน อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า:
- ปลาทู: มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปลาแซลมอน แต่มีราคาถูกกว่ามาก สามารถบริโภคได้ทั้งเนื้อและก้าง ทำให้ได้รับแคลเซียมสูง
- ปลากระโห้: แม้จะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 น้อยกว่าปลาแซลมอนจากต่างประเทศ แต่ก็ยังมีปริมาณที่มากพอที่จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีราคาถูกกว่า
- ปลาดุก: เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีไขมันดีในปริมาณที่น่าพอใจ หาซื้อได้ง่าย และมีราคาไม่แพง
การศึกษาจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การบริโภคปลาท้องถิ่นของไทย เช่น ปลาทู ปลากระโห้ ปลาดุก อย่างสม่ำเสมอ สามารถให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และให้ผลดีต่อสุขภาพที่คล้ายคลึงกับการบริโภคปลาแซลมอนจากต่างประเทศ
โรคที่มาจากการทานไขมันเลวเยอะ
การบริโภคไขมันเลว โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ในปริมาณมาก เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่การเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด ดังนี้:
1. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases)
ไขมันเลวจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด เกิดเป็นคราบไขมันหรือพลาค (Plaque) ซึ่งทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น:
- โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease): เกิดจากการตีบของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และอาจนำไปสู่อาการเจ็บหน้าอก (Angina) หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack)
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): เกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและตาย
การศึกษาจาก American Heart Association พบว่า การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวลง 5% และแทนที่ด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 25%
2. โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia)
การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดให้ต่ำกว่า 200 มก./ดล. และคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล.
3. โรคอ้วน (Obesity)
ไขมันเลวมักมีพลังงานสูง และมักพบในอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูงด้วย การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากจะทำให้ได้รับพลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย นำไปสู่การสะสมไขมันและโรคอ้วน
การศึกษาจาก National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES) พบว่า ผู้ที่บริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์สูงมีแนวโน้มที่จะมีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่าผู้ที่บริโภคไขมันทรานส์ต่ำ
4. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากจะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
การวิจัยจาก Harvard T.H. Chan School of Public Health พบว่า การเพิ่มการบริโภคไขมันอิ่มตัวเพียง 5% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึง 7%
5. โรคมะเร็งบางชนิด (Certain Types of Cancer)
การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมาก โดยเฉพาะไขมันจากเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก และแฮม มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
การศึกษาจาก International Agency for Research on Cancer (IARC) พบว่า การบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปเพิ่มขึ้นทุก 50 กรัมต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 18%
6. โรคตับอักเสบไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease - NAFLD)
การบริโภคอาหารที่มีไขมันเลวและน้ำตาลสูงจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งในที่สุด
การศึกษาจาก Mayo Clinic พบว่า การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและน้ำตาล พร้อมทั้งเพิ่มการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถลดการสะสมของไขมันในตับและปรับปรุงการทำงานของตับในผู้ป่วย NAFLD
7. โรคสมองเสื่อม (Dementia) และอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease)
การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม
การวิจัยจาก Finnish Geriatric Intervention Study to Prevent Cognitive Impairment and Disability (FINGER) พบว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยลดไขมันอิ่มตัวและเพิ่มไขมันไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถชะลอการเสื่อมของเซลล์สมองและลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้
วิธีการเลือกและปรุงปลาเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการ
การเลือกและปรุงปลาอย่างถูกวิธีจะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่ดีของปลา ดังนี้:
1. การเลือกปลา
- เลือกปลาสด: สังเกตจากตาที่ใส ไม่ขุ่น เหงือกสีแดงสด กลิ่นไม่คาว และเนื้อแน่น ยืดหยุ่น เมื่อกดแล้วคืนตัว
- พิจารณาแหล่งที่มา: ควรเลือกปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน หรือปลาจากธรรมชาติที่จับจากแหล่งน้ำสะอาด
- เลือกปลาตามฤดูกาล: ปลาตามฤดูกาลมักมีราคาถูกกว่าและสดกว่า เช่น ปลาทูจะชุกชุมในช่วงเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคม
การศึกษาจากกรมประมงพบว่า ปลาที่จับตามฤดูกาลมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าปลาที่จับนอกฤดูกาลถึง 30%
2. การปรุงปลาให้คงคุณค่าทางโภชนาการ
- การนึ่ง: เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาคุณค่าทางโภชนาการของปลา โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ไวต่อความร้อน
- การต้ม: เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการของปลา แต่ควรใช้ไฟอ่อนและเวลาไม่นานเกินไป
- การอบ: ควรใช้อุณหภูมิต่ำ (ประมาณ 180°C) และเวลาสั้น เพื่อรักษากรดไขมันโอเมก้า-3 ในปลา
- การย่างหรือทอด: แม้จะทำให้ปลามีรสชาติดี แต่จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการของปลาลดลง โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ไวต่อความร้อนสูง หากต้องการย่างหรือทอด ควรใช้ไฟอ่อนและเวลาสั้น แต่ไม่แนะนำเมนูการทอด และย่าง อาจเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ เพิ่ม
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พบว่า การนึ่งปลาจะทำให้สูญเสียกรดไขมันโอเมก้า-3 น้อยที่สุด (ประมาณ 5-10%) เมื่อเทียบกับการทอด (สูญเสียประมาณ 50%) และการย่าง (สูญเสียประมาณ 30-40%)
3. การเก็บรักษาปลา
- เก็บในตู้เย็น: ปลาสดควรเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 0-4°C และควรบริโภคภายใน 1-2 วัน
- เก็บในตู้แช่แข็ง: หากต้องการเก็บปลาไว้นานขึ้น ควรแช่แข็งที่อุณหภูมิ -18°C หรือต่ำกว่า ซึ่งจะสามารถเก็บได้นาน 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของปลา
- การละลายปลาแช่แข็ง: ควรละลายในตู้เย็นอย่างช้าๆ ไม่ควรละลายที่อุณหภูมิห้องหรือใช้น้ำอุ่น เพราะจะทำให้คุณภาพของปลาลดลง
การศึกษาจากกรมอนามัยพบว่า การเก็บปลาในตู้แช่แข็งที่อุณหภูมิ -18°C จะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการของปลาได้มากกว่า 90% เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. ปลาชนิดใดมีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงที่สุด?
ในบรรดาปลาไทย ปลาทูเป็นปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงที่สุด รองลงมาคือปลากระโห้ (ปลาแซลมอนไทย) และปลาดุก อย่างไรก็ตาม ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 อาจแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มาและวิธีการเลี้ยงปลา
2. ควรรับประทานปลาบ่อยแค่ไหนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด?
สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อย 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 250-500 กรัมต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
3. ปลาที่เลี้ยงในฟาร์มมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับปลาจากธรรมชาติหรือไม่?
ปลาที่เลี้ยงในฟาร์มที่ได้มาตรฐานมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับปลาจากธรรมชาติ แต่อาจมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำกว่าเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารที่ใช้เลี้ยงปลาและระบบการเลี้ยง
การวิจัยจากสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง พบว่า ปลาที่เลี้ยงในระบบน้ำไหลเวียนและได้รับอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันปลาจะมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ใกล้เคียงกับปลาจากธรรมชาติ
4. ผู้ที่แพ้อาหารทะเลสามารถรับประทานปลาน้ำจืดได้หรือไม่?
การแพ้อาหารทะเลส่วนใหญ่เกิดจากโปรตีนบางชนิดในสัตว์ทะเล ซึ่งอาจพบในปลาทะเลและปลาน้ำจืดได้ ผู้ที่แพ้อาหารทะเลควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบว่าแพ้โปรตีนชนิดใด และปลาชนิดใดที่สามารถรับประทานได้
การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผู้ป่วยที่แพ้อาหารทะเลประมาณ 40% สามารถรับประทานปลาน้ำจืดได้โดยไม่เกิดอาการแพ้
5. ปลากระป๋องมีกรดไขมันโอเมก้า-3 เท่ากับปลาสดหรือไม่?
ปลากระป๋อง เช่น ปลาทูกระป๋อง ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ยังคงมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปลาสด เนื่องจากกระบวนการผลิตปลากระป๋องใช้ความร้อนสูงแต่เวลาสั้น ทำให้สูญเสียกรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่มากนัก
การวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า ปลาทูกระป๋องมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 80-90% ของปลาทูสด
6. หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานปลาหรือไม่?
หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานปลาเป็นประจำ เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงปลาที่อาจมีการปนเปื้อนของสารปรอท เช่น ปลาทูน่าก้อนขนาดใหญ่ ปลาฉลาม ปลากระโทงแทงดาบ
ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์รับประทานปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงแต่มีปรอทต่ำ เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลานิล ปลาดุก อย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์
7. ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาหรือไม่?
ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานปลา เพราะปลาส่วนใหญ่มีคอเลสเตอรอลต่ำและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
การศึกษาจากสมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทยพบว่า การรับประทานปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ถึง 25-30% และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ได้ถึง 5-10%
8. อาหารเสริมน้ำมันปลาสามารถทดแทนการรับประทานปลาได้หรือไม่?
แม้ว่าอาหารเสริมน้ำมันปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่นเดียวกับปลา แต่การรับประทานปลาโดยตรงจะให้ประโยชน์มากกว่า เพราะปลามีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ด้วย เช่น โปรตีนคุณภาพสูง วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ
การวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากการรับประทานปลามีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) สูงกว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากการรับประทานอาหารเสริมน้ำมันปลา
9. ปลาที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีคุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกันหรือไม่?
ปลาขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน แต่ปลาขนาดเล็กมักมีไขมันน้อยกว่าปลาขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ปลาขนาดเล็กบางชนิด เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงแม้จะมีขนาดเล็ก
นอกจากนี้ ปลาขนาดเล็กที่รับประทานทั้งก้าง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูเล็ก จะให้แคลเซียมสูงกว่าปลาขนาดใหญ่ที่มักรับประทานเฉพาะเนื้อ
การศึกษาจากกรมประมงพบว่า ปลาทูขนาดเล็กมีปริมาณแคลเซียมสูงถึง 330 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ในขณะที่ปลาทูขนาดใหญ่มีแคลเซียมประมาณ 150 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
10. มีวิธีลดกลิ่นคาวของปลาอย่างไรโดยไม่ทำลายคุณค่าทางโภชนาการ?
มีหลายวิธีในการลดกลิ่นคาวของปลาโดยไม่ทำลายคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้:
- ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะนาวดอง: กรดในมะนาวช่วยลดกลิ่นคาวได้ดีโดยไม่ทำลายกรดไขมันโอเมก้า-3
- ใช้น้ำขิงหรือน้ำข่า: สารในขิงและข่าช่วยลดกลิ่นคาวและยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระด้วย
- ใช้ใบมะกรูดหรือผิวมะกรูด: น้ำมันหอมระเหยในมะกรูดช่วยกลบกลิ่นคาวได้ดี
- แช่ในน้ำเกลือเล็กน้อย: เกลือช่วยดึงน้ำและสารที่ทำให้เกิดกลิ่นคาวออกจากเนื้อปลา
การวิจัยจากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า การแช่ปลาในน้ำมะนาวเจือจาง (1:10) เป็นเวลา 5-10 นาที สามารถลดกลิ่นคาวได้ถึง 80% โดยไม่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการของปลาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
บทสรุป
ปลาเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดีและไขมันดีประเภทกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งการบำรุงสมอง การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด การสร้างกล้ามเนื้อ และการลดการอักเสบในร่างกาย
ประเทศไทยมีปลาหลากหลายชนิดที่อุดมไปด้วยไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นปลาทู ปลานิล ปลาช่อน ปลากะพงขาว ปลาสลิด ปลากราย ปลากด ปลากระโห้ ปลาดุก และปลาเนื้ออ่อน ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและมีราคาไม่แพง
ในขณะที่ไขมันดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไขมันเลวประเภทไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์กลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งบางชนิด
การเลือกและปรุงปลาอย่างถูกวิธีจะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่ดีของปลา ควรเลือกปลาสดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และใช้วิธีการปรุงที่ใช้ความร้อนต่ำและเวลาสั้น เช่น การนึ่งหรือการต้ม เพื่อรักษากรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ไวต่อความร้อน
สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อย 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 250-500 กรัมต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
การหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการเลือกรับประทานปลาที่มีไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว เป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าและยั่งยืน
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
โรคเก๊าท์ อย่าโทษไก่ รู้ไหมเนื้อแดงทำให้เป็นเก๊าท์ได้มากกว่าไก่?
ต่อยท้องเล่นๆ ลำไส้ทะลุ-ตับแตก เสี่ยงตาย และมีปัญหาช่องท้องระยะยาว อย่าเล่นพิเรนทร์! มีลูกเตือนลูก!
แผ่นแปะลดไข้ ที่ไม่ได้ช่วยลดไข้!?
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ





