Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ปลาไทยที่มีไขมันดีไม่แพ้ปลาแซลมอน โปรตีนสูง สร้างกล้ามเนื้อและบำรุงสมอง

เนื้อหาโดย รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH

เมื่อพูดถึงอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หลายคนมักนึกถึงปลาเป็นอันดับต้นๆ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง แต่ยังเป็นแหล่งของไขมันที่มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีบทบาทสำคัญในการบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงชนิดของปลาไทยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยไขมันดี และโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและบำรุงสมอง พร้อมทั้งอธิบายความแตกต่างระหว่างไขมันดีและไขมันเลว รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคไขมันเลวมากเกินไป

ไขมันดี HDL คืออะไร?

ไขมันดี หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า "ไขมันไม่อิ่มตัว" (Unsaturated Fats) เป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันดีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

1. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats)

ไขมันชนิดนี้พบได้ในน้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วต่างๆ และปลาบางชนิด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือด และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American College of Cardiology ในปี 2018 พบว่า การบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในปริมาณที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 19%

2. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats)

ไขมันชนิดนี้พบได้ในน้ำมันปลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด และเมล็ดพืชต่างๆ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่สำคัญ ได้แก่:

การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 15% และลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ถึง 14%

ไขมันเลว LDL คืออะไร?

ไขมันเลว หรือไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats) และไขมันทรานส์ (Trans Fats) เป็นไขมันที่เมื่อบริโภคในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

1. ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats)

พบมากในเนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส ครีม และน้ำมันมะพร้าว การบริโภคไขมันอิ่มตัวในปริมาณมากจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้จำกัดการบริโภคไขมันอิ่มตัวให้น้อยกว่า 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน

2. ไขมันทรานส์ (Trans Fats)

เป็นไขมันที่เกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนในน้ำมันพืชเพื่อให้เก็บได้นานขึ้น มีลักษณะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง พบมากในอาหารแปรรูป เช่น เนยเทียม มาการีน ขนมอบ อาหารทอด และขนมขบเคี้ยว

ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่อันตรายที่สุด เพราะนอกจากจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) แล้ว ยังลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) อีกด้วย

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine พบว่า การเพิ่มการบริโภคไขมันทรานส์เพียง 2% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 23%

ประโยชน์ของการบริโภคปลาที่มีไขมันดี

การบริโภคปลาที่มีไขมันดีมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ดังนี้:

  1. บำรุงสมอง: กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์สมอง ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ความจำ และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม การศึกษาจาก Rush University Medical Center พบว่า ผู้ที่บริโภคปลามากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์มีอัตราการเสื่อมของเซลล์สมองช้ากว่าผู้ที่ไม่บริโภคปลาถึง 10%
  2. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด: กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และลดการอักเสบของหลอดเลือด การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 40 การศึกษาพบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์สามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ถึง 36%
  3. สร้างกล้ามเนื้อ: โปรตีนในปลาเป็นโปรตีนคุณภาพสูงที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า-3 ยังช่วยลดการอักเสบหลังการออกกำลังกาย ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น การศึกษาในวารสาร Journal of the International Society of Sports Nutrition พบว่า นักกีฬาที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 วันละ 2 กรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีอาการปวดกล้ามเนื้อลดลงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังการออกกำลังกายหนัก
  4. ลดอาการซึมเศร้า: การวิจัยพบว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยในการลดอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 13 การศึกษาพบว่า การเสริมกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถลดอาการซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการซึมเศร้ารุนแรง
  5. ป้องกันโรคตา: DHA เป็นส่วนประกอบสำคัญของจอประสาทตา การบริโภคปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ การศึกษา AREDS (Age-Related Eye Disease Study) พบว่า ผู้ที่บริโภคปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์มีความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงถึง 45%

ปลาในประเทศไทยที่มีไขมันดี 10 ชนิด

ประเทศไทยมีปลาหลากหลายชนิดที่อุดมไปด้วยไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป

1. ปลานิล

ปลานิลเป็นปลาน้ำจืดที่เลี้ยงง่าย หาซื้อได้ทั่วไป และมีราคาไม่แพง ปลานิลมีโปรตีนสูงประมาณ 20-25 กรัมต่อ 100 กรัม และมีไขมันไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พบว่า ปลานิลที่เลี้ยงในระบบน้ำไหลเวียนมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าปลานิลที่เลี้ยงในบ่อดินถึง 35%

2. ปลาทู

ปลาทูเป็นปลาทะเลที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ EPA และ DHA ที่มีประโยชน์ต่อสมองและหัวใจ นอกจากนี้ ปลาทูยังเป็นแหล่งของวิตามินดีและแคลเซียมที่ดี โดยเฉพาะเมื่อรับประทานทั้งก้าง

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปลาทู 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 330 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับนมวัว 1 แก้ว และมีวิตามินดีสูงกว่านมวัวถึง 5 เท่า

3. ปลาช่อน

ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อแน่น รสชาติดี และมีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การศึกษาจากคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ปลาช่อนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน โดยเฉพาะไลซีน (Lysine) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ

4. ปลากะพงขาว

ปลากะพงขาวเป็นปลาที่นิยมนำมาประกอบอาหาร มีเนื้อนุ่ม รสชาติดี ปลากะพงขาวมีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ แต่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การวิจัยจากกรมประมงพบว่า ปลากะพงขาวที่เลี้ยงในน้ำกร่อยมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าปลากะพงขาวที่เลี้ยงในน้ำจืดประมาณ 25%

5. ปลาสลิด

ปลาสลิดเป็นปลาน้ำจืดที่นิยมนำมาทำปลาเค็ม แต่ปลาสลิดสดก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลาสลิดมีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การศึกษาจากคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พบว่า ปลาสลิดเป็นแหล่งของวิตามินบี 12 ที่ดี ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท

6. ปลากราย

ปลากรายเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีเนื้อแน่น รสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลากรายมีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การวิจัยจากกรมประมงพบว่า ปลากรายมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วน และมีแร่ธาตุสำคัญ เช่น เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันและการทำงานของเอนไซม์ต่างๆในร่างกาย

7. ปลากด

ปลากดเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อแน่น รสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลากดมีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การศึกษาจากคณะเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ พบว่า ปลากดมีปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟัน

8. ปลาแซลมอนไทย (ปลากระโห้)

ปลากระโห้หรือปลาแซลมอนไทยเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อสีส้มคล้ายปลาแซลมอน มีไขมันดีและโปรตีนสูง เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สำคัญต่อการทำงานของสมองและหัวใจ

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พบว่า ปลากระโห้มีปริมาณแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดการอักเสบและชะลอความเสื่อมของเซลล์

9. ปลาดุก

ปลาดุกเป็นปลาน้ำจืดที่เลี้ยงง่าย หาซื้อได้ทั่วไป และมีราคาไม่แพง ปลาดุกมีโปรตีนสูงและมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แม้จะมีไขมันสูงกว่าปลาชนิดอื่น แต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อสุขภาพ

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การศึกษาจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปลาดุกมีปริมาณวิตามินบี 1 และบี 2 สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของระบบประสาท

10. ปลาเนื้ออ่อน

ปลาเนื้ออ่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อนุ่ม รสชาติดี และมีก้างน้อย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและเด็ก ปลาเนื้ออ่อนมีโปรตีนสูงและมีไขมันต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):

การวิจัยจากกรมประมงพบว่า ปลาเนื้ออ่อนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน และย่อยง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

ไขมันดีจากปลาแซลมอนจากต่างประเทศ

ปลาแซลมอนจากต่างประเทศเป็นที่นิยมในประเทศไทย แม้จะมีราคาสูงกว่าปลาท้องถิ่น แต่ปลาแซลมอนก็เป็นแหล่งของไขมันดี โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ในหัวข้อนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงไขมันดีในปลาแซลมอนจากต่างประเทศและเปรียบเทียบกับปลาไทย

ชนิดของปลาแซลมอนและปริมาณไขมันดี

ปลาแซลมอนที่นิยมบริโภคมีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีปริมาณไขมันดีที่แตกต่างกัน:

  1. ปลาแซลมอนแอตแลนติก (Atlantic Salmon): เป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในฟาร์มมากที่สุด และเป็นชนิดที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยมากที่สุด ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
    • โปรตีน: 20.42 กรัม
    • ไขมันทั้งหมด: 13.42 กรัม
    • กรดไขมันโอเมก้า-3: 2.18 กรัม
    • กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.62 กรัม
    • แคลอรี่: 206 กิโลแคลอรี่
  2. ปลาแซลมอนโซคอาย (Sockeye Salmon): มีเนื้อสีแดงเข้ม และมีรสชาติเข้มข้น ส่วนใหญ่จับจากธรรมชาติ ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
    • โปรตีน: 21.31 กรัม
    • ไขมันทั้งหมด: 8.56 กรัม
    • กรดไขมันโอเมก้า-3: 1.45 กรัม
    • กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.40 กรัม
    • แคลอรี่: 169 กิโลแคลอรี่
  3. ปลาแซลมอนชินุก (Chinook/King Salmon): เป็นปลาแซลมอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีไขมันสูงที่สุด ปริมาณสารอาหาร (ต่อ 100 กรัม):
    • โปรตีน: 19.93 กรัม
    • ไขมันทั้งหมด: 13.75 กรัม
    • กรดไขมันโอเมก้า-3: 2.68 กรัม
    • กรดไขมันโอเมก้า-6: 0.59 กรัม
    • แคลอรี่: 208 กิโลแคลอรี่

เปรียบเทียบกับปลาไทย

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปลาแซลมอนจากต่างประเทศกับปลาไทย พบว่า:

  1. ปลาแซลมอนจากต่างประเทศ: มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 1.45-2.68 กรัมต่อ 100 กรัม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
  2. ปลาทูไทย: มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 2.60 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งใกล้เคียงกับปลาแซลมอนชินุก
  3. ปลากระโห้ (ปลาแซลมอนไทย): มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 1.25 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งน้อยกว่าปลาแซลมอนจากต่างประเทศส่วนใหญ่

การศึกษาจาก Harvard School of Public Health พบว่า การได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน อย่างน้อย 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 36%

คุณค่าทางโภชนาการเฉพาะในปลาแซลมอน

นอกจากกรดไขมันโอเมก้า-3 แล้ว ปลาแซลมอนยังมีสารอาหารพิเศษที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ:

  1. แอสตาแซนธิน (Astaxanthin): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สีส้มแดงแก่เนื้อปลาแซลมอน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 550 เท่า ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันความเสียหายของเซลล์ และส่งเสริมสุขภาพผิว
  2. วิตามินดี: ปลาแซลมอนเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูงที่สุด โดยปลาแซลมอน 100 กรัม มีวิตามินดีประมาณ 526-988 IU ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการรายวันของร่างกาย
  3. ซีลีเนียม (Selenium): เป็นแร่ธาตุที่ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ปลาแซลมอน 100 กรัม มีซีลีเนียมประมาณ 30-40 ไมโครกรัม

การวิจัยจาก University of Washington School of Medicine พบว่า การบริโภคปลาแซลมอนอย่างสม่ำเสมอสัมพันธ์กับการลดลงของระดับมาร์กเกอร์การอักเสบในร่างกาย เช่น C-reactive protein (CRP) และ interleukin-6 (IL-6)

ข้อควรระวังเกี่ยวกับปลาแซลมอนจากต่างประเทศ

แม้ว่าปลาแซลมอนจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ:

  1. การปนเปื้อนสารพิษ: ปลาแซลมอนจากธรรมชาติอาจมีการปนเปื้อนของสารปรอท ไดออกซิน และ PCBs ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ปริมาณสารพิษในปลาแซลมอนจากธรรมชาติยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ความปลอดภัยของ FDA
  2. สารเคมีในปลาเลี้ยง: ปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มอาจได้รับยาปฏิชีวนะและสารเคมีอื่นๆ เพื่อป้องกันโรคและเร่งการเจริญเติบโต ดังนั้น ควรเลือกซื้อปลาแซลมอนจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
  3. ราคาสูง: ปลาแซลมอนนำเข้ามีราคาสูงกว่าปลาท้องถิ่นค่อนข้างมาก ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการบริโภคเป็นประจำสำหรับคนทั่วไป

องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง รวมถึงปลาแซลมอน อย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยไม่เสี่ยงต่อการได้รับสารพิษมากเกินไป

ทางเลือกที่คุ้มค่า: ปลาไทยทดแทนปลาแซลมอน

สำหรับคนไทย การเลือกบริโภคปลาท้องถิ่นที่มีราคาถูกกว่าแต่มีไขมันดีสูงเช่นกัน อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า:

  1. ปลาทู: มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปลาแซลมอน แต่มีราคาถูกกว่ามาก สามารถบริโภคได้ทั้งเนื้อและก้าง ทำให้ได้รับแคลเซียมสูง
  2. ปลากระโห้: แม้จะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 น้อยกว่าปลาแซลมอนจากต่างประเทศ แต่ก็ยังมีปริมาณที่มากพอที่จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีราคาถูกกว่า
  3. ปลาดุก: เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีไขมันดีในปริมาณที่น่าพอใจ หาซื้อได้ง่าย และมีราคาไม่แพง

การศึกษาจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การบริโภคปลาท้องถิ่นของไทย เช่น ปลาทู ปลากระโห้ ปลาดุก อย่างสม่ำเสมอ สามารถให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และให้ผลดีต่อสุขภาพที่คล้ายคลึงกับการบริโภคปลาแซลมอนจากต่างประเทศ

โรคที่มาจากการทานไขมันเลวเยอะ

การบริโภคไขมันเลว โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ในปริมาณมาก เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่การเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด ดังนี้:

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases)

ไขมันเลวจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด เกิดเป็นคราบไขมันหรือพลาค (Plaque) ซึ่งทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น:

การศึกษาจาก American Heart Association พบว่า การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวลง 5% และแทนที่ด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 25%

2. โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia)

การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด

องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดให้ต่ำกว่า 200 มก./ดล. และคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล.

3. โรคอ้วน (Obesity)

ไขมันเลวมักมีพลังงานสูง และมักพบในอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูงด้วย การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากจะทำให้ได้รับพลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย นำไปสู่การสะสมไขมันและโรคอ้วน

การศึกษาจาก National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES) พบว่า ผู้ที่บริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์สูงมีแนวโน้มที่จะมีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่าผู้ที่บริโภคไขมันทรานส์ต่ำ

4. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากจะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2

การวิจัยจาก Harvard T.H. Chan School of Public Health พบว่า การเพิ่มการบริโภคไขมันอิ่มตัวเพียง 5% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึง 7%

5. โรคมะเร็งบางชนิด (Certain Types of Cancer)

การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมาก โดยเฉพาะไขมันจากเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก และแฮม มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

การศึกษาจาก International Agency for Research on Cancer (IARC) พบว่า การบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปเพิ่มขึ้นทุก 50 กรัมต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 18%

6. โรคตับอักเสบไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease - NAFLD)

การบริโภคอาหารที่มีไขมันเลวและน้ำตาลสูงจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งในที่สุด

การศึกษาจาก Mayo Clinic พบว่า การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและน้ำตาล พร้อมทั้งเพิ่มการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถลดการสะสมของไขมันในตับและปรับปรุงการทำงานของตับในผู้ป่วย NAFLD

7. โรคสมองเสื่อม (Dementia) และอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease)

การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม

การวิจัยจาก Finnish Geriatric Intervention Study to Prevent Cognitive Impairment and Disability (FINGER) พบว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยลดไขมันอิ่มตัวและเพิ่มไขมันไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถชะลอการเสื่อมของเซลล์สมองและลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้

วิธีการเลือกและปรุงปลาเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการ

การเลือกและปรุงปลาอย่างถูกวิธีจะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่ดีของปลา ดังนี้:

1. การเลือกปลา

การศึกษาจากกรมประมงพบว่า ปลาที่จับตามฤดูกาลมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าปลาที่จับนอกฤดูกาลถึง 30%

2. การปรุงปลาให้คงคุณค่าทางโภชนาการ

การวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พบว่า การนึ่งปลาจะทำให้สูญเสียกรดไขมันโอเมก้า-3 น้อยที่สุด (ประมาณ 5-10%) เมื่อเทียบกับการทอด (สูญเสียประมาณ 50%) และการย่าง (สูญเสียประมาณ 30-40%)

3. การเก็บรักษาปลา

การศึกษาจากกรมอนามัยพบว่า การเก็บปลาในตู้แช่แข็งที่อุณหภูมิ -18°C จะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการของปลาได้มากกว่า 90% เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ปลาชนิดใดมีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงที่สุด?

ในบรรดาปลาไทย ปลาทูเป็นปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงที่สุด รองลงมาคือปลากระโห้ (ปลาแซลมอนไทย) และปลาดุก อย่างไรก็ตาม ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 อาจแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มาและวิธีการเลี้ยงปลา

2. ควรรับประทานปลาบ่อยแค่ไหนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด?

สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อย 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 250-500 กรัมต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

3. ปลาที่เลี้ยงในฟาร์มมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับปลาจากธรรมชาติหรือไม่?

ปลาที่เลี้ยงในฟาร์มที่ได้มาตรฐานมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับปลาจากธรรมชาติ แต่อาจมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำกว่าเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารที่ใช้เลี้ยงปลาและระบบการเลี้ยง

การวิจัยจากสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง พบว่า ปลาที่เลี้ยงในระบบน้ำไหลเวียนและได้รับอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันปลาจะมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ใกล้เคียงกับปลาจากธรรมชาติ

4. ผู้ที่แพ้อาหารทะเลสามารถรับประทานปลาน้ำจืดได้หรือไม่?

การแพ้อาหารทะเลส่วนใหญ่เกิดจากโปรตีนบางชนิดในสัตว์ทะเล ซึ่งอาจพบในปลาทะเลและปลาน้ำจืดได้ ผู้ที่แพ้อาหารทะเลควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบว่าแพ้โปรตีนชนิดใด และปลาชนิดใดที่สามารถรับประทานได้

การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผู้ป่วยที่แพ้อาหารทะเลประมาณ 40% สามารถรับประทานปลาน้ำจืดได้โดยไม่เกิดอาการแพ้

5. ปลากระป๋องมีกรดไขมันโอเมก้า-3 เท่ากับปลาสดหรือไม่?

ปลากระป๋อง เช่น ปลาทูกระป๋อง ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ยังคงมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปลาสด เนื่องจากกระบวนการผลิตปลากระป๋องใช้ความร้อนสูงแต่เวลาสั้น ทำให้สูญเสียกรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่มากนัก

การวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า ปลาทูกระป๋องมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ประมาณ 80-90% ของปลาทูสด

6. หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานปลาหรือไม่?

หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานปลาเป็นประจำ เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงปลาที่อาจมีการปนเปื้อนของสารปรอท เช่น ปลาทูน่าก้อนขนาดใหญ่ ปลาฉลาม ปลากระโทงแทงดาบ

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์รับประทานปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงแต่มีปรอทต่ำ เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลานิล ปลาดุก อย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์

7. ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาหรือไม่?

ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานปลา เพราะปลาส่วนใหญ่มีคอเลสเตอรอลต่ำและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

การศึกษาจากสมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทยพบว่า การรับประทานปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ถึง 25-30% และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ได้ถึง 5-10%

8. อาหารเสริมน้ำมันปลาสามารถทดแทนการรับประทานปลาได้หรือไม่?

แม้ว่าอาหารเสริมน้ำมันปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่นเดียวกับปลา แต่การรับประทานปลาโดยตรงจะให้ประโยชน์มากกว่า เพราะปลามีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ด้วย เช่น โปรตีนคุณภาพสูง วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ

การวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากการรับประทานปลามีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) สูงกว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากการรับประทานอาหารเสริมน้ำมันปลา

9. ปลาที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีคุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกันหรือไม่?

ปลาขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน แต่ปลาขนาดเล็กมักมีไขมันน้อยกว่าปลาขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ปลาขนาดเล็กบางชนิด เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงแม้จะมีขนาดเล็ก

นอกจากนี้ ปลาขนาดเล็กที่รับประทานทั้งก้าง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูเล็ก จะให้แคลเซียมสูงกว่าปลาขนาดใหญ่ที่มักรับประทานเฉพาะเนื้อ

การศึกษาจากกรมประมงพบว่า ปลาทูขนาดเล็กมีปริมาณแคลเซียมสูงถึง 330 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ในขณะที่ปลาทูขนาดใหญ่มีแคลเซียมประมาณ 150 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

10. มีวิธีลดกลิ่นคาวของปลาอย่างไรโดยไม่ทำลายคุณค่าทางโภชนาการ?

มีหลายวิธีในการลดกลิ่นคาวของปลาโดยไม่ทำลายคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้:

การวิจัยจากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า การแช่ปลาในน้ำมะนาวเจือจาง (1:10) เป็นเวลา 5-10 นาที สามารถลดกลิ่นคาวได้ถึง 80% โดยไม่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการของปลาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

บทสรุป

ปลาเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดีและไขมันดีประเภทกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งการบำรุงสมอง การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด การสร้างกล้ามเนื้อ และการลดการอักเสบในร่างกาย

ประเทศไทยมีปลาหลากหลายชนิดที่อุดมไปด้วยไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นปลาทู ปลานิล ปลาช่อน ปลากะพงขาว ปลาสลิด ปลากราย ปลากด ปลากระโห้ ปลาดุก และปลาเนื้ออ่อน ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและมีราคาไม่แพง

ในขณะที่ไขมันดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไขมันเลวประเภทไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์กลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การบริโภคไขมันเลวในปริมาณมากเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งบางชนิด

การเลือกและปรุงปลาอย่างถูกวิธีจะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่ดีของปลา ควรเลือกปลาสดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และใช้วิธีการปรุงที่ใช้ความร้อนต่ำและเวลาสั้น เช่น การนึ่งหรือการต้ม เพื่อรักษากรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ไวต่อความร้อน

สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อย 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 250-500 กรัมต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

การหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการเลือกรับประทานปลาที่มีไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว เป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าและยั่งยืน


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
โรคเก๊าท์ อย่าโทษไก่ รู้ไหมเนื้อแดงทำให้เป็นเก๊าท์ได้มากกว่าไก่?

ต่อยท้องเล่นๆ ลำไส้ทะลุ-ตับแตก เสี่ยงตาย และมีปัญหาช่องท้องระยะยาว อย่าเล่นพิเรนทร์! มีลูกเตือนลูก!

แผ่นแปะลดไข้ ที่ไม่ได้ช่วยลดไข้!?

 

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: News Daily TH x โหนกระแสไฟฟ้า
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เขาคือผู้ชายที่หล่อ และดูดีที่สุดในกัมพูชา ณ เวลานี้จดหมายลายมือแม่ของคิมแซรน ถึงลูกสาวที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ"โรงแรมเมืองทอง" อดีตที่พักเก่าแก่แห่งโคราช สู่อาคารอนุรักษ์เคียงข้างลานย่าโมชาวเน็ต ในโลกออนไลน์ต่างพากันสงสัย ทำไมเงินสะดุด ทั้งที่ "ดิว อริสรา" เปิดธุรกิจ 13 บริษัทสถานที่ท่องเที่ยวในโคราช ที่ต้องไปสักครั้ง!
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เขาคือผู้ชายที่หล่อ และดูดีที่สุดในกัมพูชา ณ เวลานี้
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ทั่วไป
ดาราสาว "ดิสนีย์" ชีวิตแฮปปี้สุดๆ..หลังผันตัวเองเป็นนางเอกหนังโป๊ทำไมไก่ไม่ขันแค่ตอนเช้าแล้วแค่เราปอกมะพร้าวไม่เป็นแค่เราปอกมะพร้าวไม่เป็น
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง