ทำความรู้จักกับ “ฝ้า” เพื่อรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี
ทำความรู้จักกับ “ฝ้า” เพื่อรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี
ปัญหาผิวหนังที่ส่งผลให้สีผิวไม่สม่ำเสมอและลดความมั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเผชิญ หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหานี้คือการมีรอยหรือจุดที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีผิดปกติ ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกว่า ฝ้า ในทุกเพศทุกวัย การรักษาและการป้องกันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ในพริบตา แต่จำเป็นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมและใส่ใจกับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ ฝ้า ให้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งในแง่ของที่มาของปัญหา สาเหตุที่เกิดขึ้น ประเภทของ ฝ้า วิธีการรักษาที่ทันสมัยและแนวทางป้องกันไม่ให้กลับมาอีกครั้ง เพื่อให้คุณสามารถดูแลผิวได้อย่างถูกวิธีและเพิ่มความมั่นใจในทุกวัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.romrawinclinic.com/face-skin/melasma
ฝ้าคืออะไร ?
ฝ้า หรือที่แพทย์เรียกว่า Melasma เป็นภาวะที่เซลล์เมลาโนไซต์ในผิวหนังถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้นผิดปกติ ส่งผลให้เกิดรอยปื้นหรือจุดด่างดำบนผิวหนังที่มีสีเข้มกว่าปกติ โดยทั่วไปจะปรากฏบนใบหน้า แต่ในบางรายอาจเห็นในบริเวณอื่น ๆ ด้วย
ลักษณะของฝ้านั้นแตกต่างกันไปตามบุคคล โดยอาจมีตั้งแต่รอยเล็ก ๆ บนผิวจนถึงรอยที่มีขนาดใหญ่และกระจายไม่สม่ำเสมอ การเกิดฝ้าไม่ได้เป็นเพียงปัญหาความงามเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลต่อความมั่นใจและความรู้สึกโดยรวมของผู้ที่ประสบปัญหา
สาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า
การเกิดฝ้ามีสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลากหลาย ทั้งภายในและภายนอก
- แสงแดด: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด ฝ้า คือรังสี UV จากแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UVA ที่สามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสีในผิว ทำให้เกิดจุดด่างดำและความไม่สม่ำเสมอของสีผิว
- เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารบางชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน สารปรอท หรือสเตียรอยด์ อาจส่งผลให้ผิวบางและเพิ่มโอกาสในการเกิด ฝ้า ได้
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกาย เช่น ในช่วงตั้งครรภ์หรือเมื่อต้องใช้ยาคุม ก็มีส่วนกระตุ้นให้เซลล์ผลิตเม็ดสีมากขึ้นจนทำให้เกิด ฝ้า
- กรรมพันธุ์และสภาพร่างกาย: ถ้าครอบครัวมีประวัติเป็น ฝ้า ผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 30-40 ปี ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น
ประเภทของฝ้าและความแตกต่าง
ความหลากหลายของ ฝ้า ทำให้การรักษาต้องปรับให้เข้ากับลักษณะของปัญหา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
1.ฝ้าแดด
ฝ้าแดดเกิดจากการที่ผิวหนังได้รับแสงแดดโดยตรงหรือจากแหล่งที่มีการปล่อยรังสีออกมา ซึ่งทำให้เซลล์เม็ดสีถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น ฝ้าแดดมักมีลักษณะเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม
2.ฝ้าตื้น
ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เกิดจากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าที่ถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้น ลักษณะจะเป็นรอยปื้นที่มีขอบชัด สีของฝ้าตื้นสามารถรักษาให้จางลงได้ง่ายเนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นผิวที่ไม่ลึกมาก
3.ฝ้าลึก
ฝ้าลึก (Dermal Melasma) นั้นเกิดจากเซลล์ในชั้นหนังแท้ที่ผลิตเม็ดสีมากผิดปกติ ทำให้เกิดรอยที่ดูกลืนกับผิวและยากต่อการรักษา เพราะเม็ดสีอยู่ในชั้นที่ลึกกว่า
4.ฝ้าผสม
ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นการผสมผสานระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก ทำให้มีลักษณะของทั้งสองแบบรวมกัน ซึ่งต้องใช้วิธีการรักษาหลายรูปแบบเพื่อให้ได้ผลที่ครอบคลุม
5.ฝ้าเลือด
ฝ้าเลือด (Telangiectatic Melasma) เกิดจากการที่หลอดเลือดฝอยในผิวหนังทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดรอยสีแดงหรือชมพูผสมกับสีอื่น ๆ ที่คล้ายกับลักษณะของ ฝ้า
ปัญหาผิวอื่น ๆ ที่มักสับสนกับฝ้า
นอกจาก ฝ้า ที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีผิดปกติแล้ว ยังมีปัญหาผิวอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันและบางครั้งอาจสับสนได้
- รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation): รอยดำเกิดจากผิวที่ได้รับการอักเสบหรือการแกะเกาผิว ส่งผลให้เม็ดสีในผิวเพิ่มขึ้น
- กระ (Freckles): กระเป็นจุดเล็ก ๆ ที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีและมีขอบชัดเจน
- ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis): เกิดจากการที่ผิวสัมผัสกับสารก่อการระคายเคือง ทำให้เกิดอาการคันและผื่นแดง
- ปานดำโอตะ (Nevus of Ota): เป็นปานที่เกิดตั้งแต่แรกเกิดและมีลักษณะเป็นกลุ่มจุดสีเข้มที่อาจขยายตัวได้ตามอายุ
การแยกแยะปัญหาเหล่านี้อย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกวิธี ฝ้า ที่เหมาะสมสำหรับการรักษา
แนวทางและวิธีการรักษาฝ้า
แม้ฝ้าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ แต่ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลากหลายที่สามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพผิวและความรุนแรงของปัญหา ซึ่งหลัก ๆ มีดังนี้
1.การทำเลเซอร์ การรักษาผ่านเลเซอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะสามารถรักษา ฝ้า ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเครื่องเลเซอร์ที่ใช้มีหลายชนิด เช่น
- Pico Laser: ใช้คลื่นพลังงานความถี่สูงที่มีความเร็วในการปล่อยพัลส์ ทำให้สามารถทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบ ๆ
- Q-Switch Laser: เหมาะสำหรับการลดเลือนรอยดำและรอยแผลเป็นจาก ฝ้า แต่ต้องใช้ในกรณีที่ผิวไม่อยู่ในช่วงอักเสบ
- Dual Yellow Laser: ช่วยแก้ไขปัญหารอยแดงและรอยดำจาก ฝ้า พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรงขึ้น
การทำเลเซอร์เพื่อรักษา ฝ้า นั้นมักใช้เวลาประมาณ 30-60 นาทีต่อเซสชัน และอาจต้องทำซ้ำกันหลายครั้งตามคำแนะนำของแพทย์
(ฝ้า: 10 ครั้ง)
2.การฉีดหน้าใส เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมคือการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เช่น Rejuran, Channel หรือเมโสหน้าใส ซึ่งช่วยฟื้นฟูผิว ลดเลือน ฝ้า และส่งเสริมการสร้างเซลล์ใหม่ให้ผิวดูกระจ่างใส
การฉีดใบหน้าใสถือเป็นการรักษาที่ไม่เจ็บและเห็นผลค่อนข้างรวดเร็ว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือน ฝ้า พร้อมกับบำรุงผิวในเวลาเดียวกัน
3.การสครับและการลอกผิว การสครับผิวและการทำ Chemical Peeling เป็นวิธีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไป เผยผิวใหม่ที่มีความสม่ำเสมอมากขึ้น วิธีเหล่านี้สามารถลดเลือนรอยของ ฝ้า ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องระวังไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือบอบบางลงจากการทำซ้ำบ่อย ๆ
4.การใช้ยาทาหรือครีมลดเลือนฝ้า การใช้ยาที่มีฤทธิ์ลดการผลิตเม็ดสี เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน สามารถช่วยลดเลือน ฝ้า ได้ในบางกรณี แต่เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง จึงควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้
5.การฝังเข็ม ศาสตร์การฝังเข็มในแพทย์แผนจีนก็ถูกนำมาใช้ในการรักษา ฝ้า โดยวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและปรับสมดุลให้กับร่างกาย ซึ่งบางงานวิจัยพบว่าการฝังเข็มสามารถช่วยลดเลือนฝ้าได้ในระยะยาว
การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าถือเป็นก้าวแรกในการเลือกใช้วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ การฉีดใบหน้าใส หรือการใช้ครีมลดเลือนฝ้าทุกวิธีล้วนมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไปตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
สิ่งสำคัญคือการรักษาฝ้าต้องทำควบคู่กับการดูแลและป้องกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ยั่งยืนและลดความเสี่ยงในการกลับมาเกิดซ้ำ

















