การขายอาวุธครั้งสำคัญของไบเดน ทิ้งทวนก่อนส่งมอบตำแหน่ง
การยืนยันและรายละเอียดของการขายอาวุธ
ในช่วงสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โจ ไบเดนได้ดำเนินการขายอาวุธมูลค่ารวมกว่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.75 แสนล้านบาท ให้แก่ประเทศอิสราเอล โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วยยุทโธปกรณ์หลากหลายชนิด เช่น จรวดนำวิถีจากอากาศสู่อากาศ ขีปนาวุธเฮลล์ไฟร์ กระสุนปืนใหญ่ และ ระเบิดหลากชนิด
การขายอาวุธนี้ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่อเมริกันและได้ถูกแจ้งไปยัง สภาคองเกรส โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อให้การอนุมัติอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะดำเนินการส่งมอบ
บริบทของการขายอาวุธในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์ก่อนที่ไบเดนจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายฝ่ายจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการขายอาวุธครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการสนับสนุนทางทหารต่ออิสราเอล โดยเฉพาะในบริบทของสงครามที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในฉนวนกาซา
ในอดีต ไบเดนได้ให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง และมักกล่าวถึงการสนับสนุนนี้ว่าเป็น "การหุ้มเกราะเหล็กให้อิสราเอล" ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอล
มุมมองทางการเมืองและการโต้แย้งภายในประเทศ
แม้การขายอาวุธครั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายหนึ่ง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายกลุ่ม รวมถึงนักการเมืองในสหรัฐฯ และองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่มองว่าการสนับสนุนทางทหารอาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในพื้นที่
ในเดือนพฤษภาคม 2024 สหรัฐฯ เคยระงับการส่งมอบระเบิดน้ำหนัก 2,000 ปอนด์ และ 500 ปอนด์ชั่วคราว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปฏิบัติการภาคพื้นดินครั้งใหญ่ในเมืองราฟาห์ของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม ไบเดนได้กลับลำและยกเลิกแผนการชะลอการส่งมอบเหล่านั้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับพันธมิตรสำคัญอย่างอิสราเอล
ความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอล
การขายอาวุธนี้สะท้อนถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในการเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดให้แก่อิสราเอล โดยจากข้อมูลของ สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) พบว่า อาวุธจากสหรัฐฯ คิดเป็น 69% ของการนำเข้าอาวุธของอิสราเอลในช่วงปี 2019-2023 สหรัฐฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากองทัพของอิสราเอลให้เป็นหนึ่งในกองทัพที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดในโลก
ผลกระทบจากสงครามและการตอบโต้ทางการทูต
ในช่วงสงครามกับกลุ่มฮามาสเมื่อปี 2023 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีในอิสราเอลและฉนวนกาซาจำนวนมาก สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ในขณะที่รัฐบาลไบเดนยืนยันว่า การขายอาวุธครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้อิสราเอลป้องกันตนเองจากการรุกรานของอิหร่านและองค์กรตัวแทน แต่เสียงวิจารณ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ท่าทีของรัฐบาลใหม่และความต่อเนื่องของนโยบาย
หลังจากไบเดนส่งมอบตำแหน่งให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ มีความเป็นไปได้ที่นโยบายต่างประเทศเกี่ยวกับอิสราเอลจะมีการเปลี่ยนแปลง แม้ทรัมป์จะเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน แต่เขาก็เคยเรียกร้องให้อิสราเอลยุติปฏิบัติการในฉนวนกาซาในอดีต นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีจุดยืนที่เน้นลดการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสนับสนุนทางการทหารในอนาคต



















